วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ระบบสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ

ผู้บริหาร การตัดสินใจ และการแก้ไขปัญหา
บทบาทของผู้บริหารและระดับการบริหาร
บทบาทของผู้บริหาร แบ่งออกเป็น 3 แบบ ได้แก่
1. บทบาทระหว่างบุคคล (Interpersonal roles) ได้แก่ บทบาทจากหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ได้แก่
- หัวหน้า (Figurehead) มีบทบาทในการบังคับบุคคลเพื่อให้ทำหน้าที่ที่รับผิดชอบ
- ผู้นำ (Leader) มีบทบาทในการกระตุ้น/เร้าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในด้านการทำงาน หรือด้านอื่นๆ
- ผู้ติดต่อ (Liaison) มีบทบาทในการติดต่อกับองค์กรหรือหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ได้ข้อมูลและบริการด้านการค้า
2. บทบาทด้านสารสนเทศ (Informational roles) ได้แก่
- ผู้ตรวจสอบ (Monitor) มีบทบาทในการค้นหาและรับข้อมูลมาใช้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจองค์กรและสภาพแวดล้อมภายนอก
- ผู้เผยแพร่ (Disseminator) มีบทบาทในการส่งข้อมูลที่ได้รับจากภายนอก หรือจากหน่วยงานย่อย
ให้กับสมาชิกขององค์กร
- โฆษก (Spokesman) มีบทบาทในการส่งข้อมูลไปยังภายนอก ตามแผนหรือนโยบายขององค์กร
3. บทบาทด้านการตัดสินใจ (Decisional roles) ได้แก่
- ผู้จัดการ (Entrepreneur) มีบทบาทในการค้นหาการจัดการและสภาพแวดล้อมที่เป็นโอกาส และ
ริเริ่มหรือแนะนำในด้านการควบคุมภายในองค์กร
- ผู้จัดการสิ่งรบกวน (Disturbance Handler) มีบทบาทในการปรับการทำงานให้ไปในทางที่ถูก
เมื่อองค์การเผชิญกับสิ่งรบกวนที่ไม่คาดคิดมาก่อน
- ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocator) มีบทบาทในการจัดสรรทรัพยากร ให้แก่หน่วยงาน
ต่างๆ ตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้
- ผู้เจรจา (Negotiator) มีบทบาทในการเป็นตัวแทนองค์กรในการติดต่อเจรจากับองค์กรอื่นๆ
ระดับการบริหารแบ่งออกเป็น 3 ระดับได้แก่
1. การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นงานของผู้บริหารระดับสูง ได้แก่การวางแผนระยะยาว กี่กำหนดทิศทางขององค์กร การกำหนดนโยบายในการจัดสรรทรัพยากร และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ระยะยาว
2. การควบคุมการบริหาร (Management Control) เป็นงานของผู้บริหารระดับกลาง ได้แก่ การวางแผนในการปฏิบัติงาน การติดตามการทำงานตามแผนที่วางไว้ การตรวจสอบและติดตามงานว่าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ หรือไม่ การจัดสรรทรัพยากร การประเมินผลของการทำงาน และการตรวจสอบว่ามีการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างมี ประสิทธิภาพ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กรหรือไม่
3. การควบคุมการปฏิบัติงาน (Operational Control) เป็นงานของผู้บริหารระดับล่าง ได้แก่การดำเนินงานที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดไว้ให้ได้ผล และมีประสิทธิภาพ

แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษา

เอกสารประกอบการเรียนวิชา เทคโนโลยีการศึกษา     รหัสวิชา 1032101

แนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษา
            ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการจัดการศึกษาและการเรียนรู้ของมนุษย์เป็นอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากศักยภาพของเทคโนโลยีสารสนเทศในการขจัดข้อจำกัดของกาลเวลา และระยะทาง ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลเกิดได้ในทุกเวลา และทุกสถานที่ ซึ่งจากวิวัฒนาการนี้เองได้ก่อให้เกิดรูปแบบการจัดการศึกษาแบบใหม่ที่มีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา

เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการเครือข่ายสารสนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษา

            เทคโนโลยีที่ใช้ในโครงการนี้ เป็นการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ โทรคมนาคมและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ซึ่งจัดเป็นระบบการเรียนการสอนทางไกลแบบสองทาง
            เทคโนโลยีโทรประชุมทางไกล (Video Conference) ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่ใช้ในการสื่อสารระยะไกล เป็นการผสมผสานของสัญญาณภาพ สัญญาณเสียงและข้อมูลผนวกกับเทคโนโลยีของเครือข่ายและการสื่อสารเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของมนุษย์ที่สามารถโต้ตอบกันแบบ Real-time ระหว่างกลุ่ม 2 กลุ่มหรือมากกว่าซึ่งอยู่ห่างไกลกัน
            โดยสรุปแล้วระบบโทรประชุมทางไกล หมายถึง การประชุมทางไกลผ่านจอภาพ เป็นบริการที่ให้ทั้งภาพและเสียงในเวลาเดียวกัน โยผู้ใช้ทั้งต้นทางและปลายทางจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ ซึ่งประกอบด้วย กล้องถ่ายภาพ จอภาพ อุปกรณ์แปลงสัญญาณ และชุดควบคุมการประชุมระหว่างจุดสองสุด จะต้องใช้อุปกรณ์สองชุดเชื่อมต่อกัน ส่วนการประชุมพร้อม ๆ กันนั้นจะต้องใช้อุปกรณ์ Teleconference เท่าจำนวนจุดที่ต้องการประชุมและจะต้องใช้อุปกรณ์ควบคุมหลายจุด (Multi-Point Control Unit : MCU) ช่วยการตัดภาพระหว่างจุดแต่ละจุด อุปกรณ์นี้สามารถเชื่อมสัญญาณเข้าด้วยกันได้ โดยทำหน้าที่เป็นทั้งเครื่องรับและเครื่องส่งภายในเครื่องเดียวกัน ส่งสัญญาณผ่านเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงหรือผ่านระบบโครงข่าย ISDN
            นอกจากนี้จากการที่ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน ชิน ฟันแฟร์ (Shin Fun Fair) ทำให้ได้ทราบถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนยุคใหม่คือ เครือข่ายศูนย์การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม(Distance Learning via Satellite) ดำเนินงานโดย บริษัท ชิน บรอดแบรนด์ อินเตอร์เน็ต (ประเทศไทยจำกัด) นำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดของการเรียนการสอนยุคใหม่เป็นครั้งแรกใน ประเทศไทย โดยใช้โครงการเทคโนโลยีบรอดแบรนด์ Ipstar หรือ Internet ความเร็วสูงผ่านดาวเทียม แบบ 2 ทาง (Interactive) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนทั้งภาพ เสียง และข้อมูล โดยเปิดโอกาสให้มีการโต้ตอบระหว่างผู้สอนจากศูนย์ iLearn ในกรุงเทพมหานคร และผู้เรียนที่อยู่ ณ ศูนย์ iLearn ในต่างจังหวัดเสมือนเรียนอยู่ในห้องเดียวกัน



            โดยศูนย์การเรียนการสอน I Learn ในจังหวัดต่างๆ ส่งผ่านข้อมูลผ่านทาง IPStar Gatewey แล้วผ่านไปยัง Fiber Opic แล้วส่งต่อไปยังสถานีแม่ข่ายเพื่อออกอากาศหลักสูตรการสอน และการอบรม (แหล่งที่มา www.ilearn.in.th)
            ยิ่งไปกว่านั้นหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งของการศึกษาทางไกลนอกเหนือจากการศึกษาทางไกลผ่านทางเทคโนโลยีโทรประชุมทางไกล (Video Conference) การศึกษาทางไกลผ่านทางดาวเทียม การศึกษาทางไกลผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ดังที่ได้กล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ไว้ในตอนต้นแล้ว การศึกษาทางไกลอีกรูปแบบหนึ่งที่เป็นระบบการเรียนทางไกลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ที่นิยมเรียกกันว่า  E-Learning หรือ Electronic Learning ก็เป็นส่วนสำคัญและมีคุณค่ายิ่งต่อการจัดการศึกษาของไทยให้มีประสิทธิภาพ และเป็นไปอย่างทั่วถึงทุกคน ซึ่งเนื้อหาในส่วนต่อไปจะกล่าวถึงสาระที่สำคัญของ E – Learning ดังต่อไปนี้
            E-Learning หรือ Electronic Learning หมายถึง รูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ ที่มี การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสื่ออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ มีวัตถุประสงค์ที่เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้องค์ความรู้ (knowledge) ได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่  (Anywhere-Anytime Learning)  เพื่อให้ระบบการเรียนการสอนเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น   และเพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของกระบวนวิชาที่เรียนนั้น ๆ 
            รูปแบบการเรียนการสอน
1. การเรียนการสอนทางไกล (Distance Education) เป็นการเรียนการสอนที่ประยุกต์เทคโนโลยีหลาย ๆ อย่าง เช่น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ การประชุมทางไกลชนิดภาพและเสียง รวมถึงเอกสารต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล
2. แบบมหาวิทยาลัยออนไลน์ เรียกว่า Online University หรือ Virtual University เป็นระบบการเรียนการสอนที่อยู่บนเครือข่ายในรูปเว็บเพจ มีการสร้างกระดานถาม-ตอบ อิเล็กทรอนิกส์ (Web Board)
3. การเรียนการสอนผ่านทางอินเตอร์เน็ตและเว็บเพจ (Online Learning, Internet Web Base Education) เป็นการนำเสนอเนื้อหาและการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนโดยเน้นสื่อประสมหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน มีการสร้างสภาวะแวดล้อมที่ประสานงานกัน ให้ผู้เรียนและผู้สอนเข้าถึงฐานข้อมูลหลายชนิดได้ โดยผู้เรียนต้องควบคุมจังหวะการเรียนรู้ด้วยตนเองให้เป็น และเลือกเวลา สถานที่ในการเรียนรู้
            4. โครงข่ายการเรียนการสอนแบบอะซิงโครนัส (Asynchronous Learning Network : ALN) เป็นการเสียนการสอนที่ต้องการติดตามผลระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน โดยใช้การทดสอบบทเรียน เป็นตัวโต้ตอบ
            ลักษณะของการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาสำหรับการเรียนการสอนผ่าน E-Learning ประกอบด้วย
          E-Book การสร้างหนังสือหรือเอกสารในรูปแบบสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อใช้ประโยชน์กับระบบการเรียนการสอนบนเครือข่าย
            Virtual Lab การสร้างห้องปฏิบัติการจำลองที่ผู้เรียนสามารถเข้ามาทำการทดลอง การทดลองอาจใช้วิธีการทาง simulation หรืออาจให้นักเรียนทดลองจริงตามคำแนะนำที่ให้
            Video และการกระจายแบบ Real/audio/video เป็นการสร้างเนื้อหาในรูปแบบวีดีโอ หรือบันทึกเป็นเสียงเพื่อเรียกผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์
            Virtual Classroom เป็นการสร้างห้องเรียนจำลองโดยใช้กระดานข่าวบนอินเตอร์เน็ตกระดานคุยหรือแม้แต่จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อประโยชน์การเรียนรู้ผ่านเครือข่าย
            Web base training การสร้างโฮมเพจหรือเว็บเพจเพื่อประโยชน์การเรียนการสอน
            E-library การสร้างห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้บริการบนเครือข่ายได้
            ขณะนี้มีหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศที่ให้ความสนใจกับ E-Learning ทั้งที่มีการพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ภายใต้ชื่อ http ://www.chulaonline.com และมหาวิทยาลัยรามคำแหง ภายใต้ชื่อโครงการ http ://www.ru.ac.th/learn โดยมีวัตถุประสงค์ในการใช้ระบบ E-Learning มาเสริมประสิทธิภาพให้กับระบบการเรียนทางไกลที่มีอยู่ในปัจจุบัน และในต่างประเทศได้มีการพัฒนา E-Learning มาพอสมควรแล้ว เช่น Australia Department of Education , Training and Youth Affairs ภายใต้ชื่อ http ://www.detya.gov.au/ เช่นกัน
           
            สรุปได้ว่าการเรียนรู้โดยผ่านเทคโนโลยีการศึกษาเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมากสำหรับโลกยุคปัจจุบัน และ หลักของ E-Learning ก็คือ ระบบการเรียนทางไกลผ่านอินเตอร์เน็ตที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถเผยแพร่ข้อมูลได้อย่างกว้างขวาง ดังนั้น E-Learning จึงเป็นเทคโนโลยีหนึ่งที่ช่วยพัฒนาแต่ละประเทศให้สามารถเข้าสู่สังคมยุค IT ได้อย่างมีประสิทธิภาพนอกจากนี้ เพื่อการศึกษาในหลากหลายรูปแบบ E-Learning จึงถูกนำมาใช้ในการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ทั้งนี้ก็เพื่อจะเป็นการเตรียมความพร้อม ทรัพยากรมนุษย์ ให้พร้อมที่จะเข้าปรับตัวให้ทันต่อโลกยุคไร้พรมแดน และโลกในยุคต่อ ๆ ไปที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีการดำลงชีวิตของสังคมมนุษย์ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต

แนวโน้มการศึกษาทางไกล

สำหรับข้อมูลในส่วนของแนวโน้มของการศึกษาทางไกล ก่อนที่จะกล่าวถึงแนวโน้มที่ได้จากการวิเคราะห์ และสังเคราะห์จากข้อมูลที่ผ่านมาในอดีตและในปัจจุบันแล้ว แหล่งข้อมูลที่มีความสำคัญในอ้างอิง เพื่อให้แนวโน้มที่ได้มีการคาดการณ์ไว้ล่วงหน้านั้นมีความเชื่อถือได้ ผู้ศึกษาจึงต้องกล่าวถึงงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มของเทคโนโลยีการศึกษา ที่ยกมาพอสังเขปดังนี้
            งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
            น้ำทิพย์ สุนทรนันท (2534) แนวโน้มการพัฒนาสื่อสำหรับการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน (Trends of Media Development for Distance Education of  Non-formal Education Department) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับแนวโน้มในการพัฒนาสื่อสำหรับการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียนในอีก 10 ปี ในด้านนโยบายการใช้สื่อการศึกษาทางไกล การบริหารและการจัดการสื่อการศึกษาทางไกล งบประมาณการสำหรับสื่อการศึกษาทางไกล ประเภทของสื่อการศึกษาทางไกล และบุคลากรด้านสื่อการศึกษาทางไกล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสำหรับการศึกษาทางไกลจำนวน 36 คน ดำเนินการวิจัยโดยใช้เทคนิคเดลฟาย ให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความคิดเห็นจำนวน 3 รอบ โดยใช้แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
            จากแนวโน้มทั้งหมด 110 ข้อ ผู้เชี่ยวชาญเห็นสมควรให้ใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้ 84 ข้อ แบ่งเป็น
            ด้านนโยบายการใช้สื่อการศึกษาทางไกล                             27   ข้อ
            ด้านการบริหารและการจัดการสื่อการศึกษาทางไกล  18   ข้อ
            ด้านงบประมาณ                                                                7   ข้อ
            ด้านประเภทของสื่อการศึกษาทางไกล                                27   ข้อ
            ด้านบุคลากรสื่อการศึกษาทางไกล                                        5   ข้อ
            ณรงค์ จิตวิศรุตกุล (2535) การศึกษาการดำเนินงานตามโครงการนิเทศทางไกลของสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลำปาง (A Student of the Implementation of the Project for Distance Supervision of the Office of Lampang Provincial Primary Education) การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาการดำเนินงานและปัญหาการดำเนินงานตามโครงการนิเทศทางไกลของสำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดลำปอง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยทั้งหมด 612 คน ได้แก่ ศึกษานิเทศก์ อำเภอผู้รับผิดชอบโครงการ ผู้บริหารโรงเรียนและหัวหน้าศูนย์วิชาการกลุ่มโรงเรียน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่ แบบสัมภาษณ์อย่างมีโครงสร้าง แบบสอบถามและแบบศึกษาเอกสาร ผลการวิจัยมีการสร้างสื่อนิเทศทางไกลประเภทสื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุสื่อสารและโทรทัศน์ ส่งไปยังผู้รับการนิเทศเพื่อให้เผยแพร่ในโรงเรียน สำหรับปัญหาที่พบได้แก่ ขาดงบประมาณ ความล่าช้าในการส่งสื่อและขาดระบบการรับที่ดี
            ชวลิต บัวรัมย์ (2540) แนวโน้มด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาแบบสื่อสารทางไกลของประเทศไทยในปี พ.. 2550 โดยใช้เทคนิคเดลฟาย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีการศึกษา จำนวน 18 ท่าน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
            1. แนวโน้มด้านโทรทัศน์การศึกษา ใช้ดาวเทียม เส้นใยแก้วนำแสง สารเคเบิลเป็นสื่อสัญญาณถ่ายทอดรายการโทรทัศน์ จะเน้นเสนอเป็นรายการสด นำเอาระบบมัลติมีเดีย Digital Video Disk , Web TV เข้ามาเสริมกับโทรทัศน์โดยการเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต เนื้อหาเป็นลักษณะ Package ซึ่งจะครอบคลุมทุกพื้นที่ในประเทศไทย เครื่องรับโทรทัศน์มีขนาดจอ 29 นิ้วขึ้นไป พร้อมกับมีเครื่องเล่น Video CD และสามารถเชื่อมต่อกับเคเบิลทีวีได้
            2. แนวโน้มด้านโทรศัพท์เพื่อการศึกษา จะเปลี่ยนจากระบบอนาลอกมาใช้ระบบ ISDN ทั้งหมด ซึ่งจะเป็นการรวมโทรศัพท์ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ เข้าด้วยกัน เป็นการนำความรู้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยไม่มีขีดจำกัดด้วยเวลาและระยะทาง อยู่ในรูปของสื่อทันสมัยมัลติมีเดีย ซึ่งสามารถใช้โทรศัพท์เป็นการเจาะข้อมูลเรียนรู้ด้วยตนเอง
            3. แนวโน้มด้านดาวเทียมเพื่อการศึกษา ทำให้คนไทยเรียนรู้ภาษาอังกฤษและภาษาอื่น ๆ ได้มากขึ้น โดยไม่ต้องเป็นสมาชิกมีความเป็นระหว่างประเทศ เครื่องรับสัญญาณดาวเทียม และค่าใช่บริการจะถูกลง ใช้แพร่หลายทั่วประเทศทุกระดับชั้นการศึกษา โดยเฉพาะโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล
            4. แนวโน้มด้านการประชุมทางไกลเพื่อการศึกษา ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ช่วยในการควบคุมการทำงาน ใช้ในการเรียนการสอนและฝึกอบรมระหว่างมหาวิทยาลัยหรือวิทยาเขตของตนเองที่ขยายไปยังจังหวัดอื่น ๆ การสอนเป็นแบบกลุ่มใหญ่ มีการนำระบบอินเตอร์เน็ตมาใช้ร่วมการประชุมทางไกลในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษามีการใช้น้อยมากครูผู้สอนยังมีความจำเป็นในการสอนอยู่
            5. แนวโน้มด้านอินเตอร์เน็ตเพื่อการศึกษา มีแหล่งทรัพยากรความรู้หลากหลายในการค้นคว้าจะแพร่หลายเป็นที่นิยมกันกว้างขวางทั่วประเทศ มีบทบาทในการแลกเปลี่ยนความรู้ผ่านจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ มีการติดตั้งระบบเครือข่ายสารสนเทศภายในองค์กรเพื่อเป็นการรองรับระบบ Video on Demand และระบบเรียกผ่าน CAI on Internet

            จากการค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวโน้มของการศึกษาทางไกลทำให้สามารถวิเคราะห์และสังเคราะห์ถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้านการศึกษาทางไกล ดังต่อไปนี้
            1. แนวโน้มด้านวิทยุเพื่อการศึกษา
            โดยภาพรวมแนวโน้มเทคโนโลยีด้านการศึกษาทางไกลทางด้านวิทยุเพื่อการศึกษา จะมีสถานีวิทยุกระจายเสียง ที่ผู้เรียนสามารถสอบถามอาจารย์ผ่านทาง E-Mail ได้ สถานีวิทยุกระจายเสียงจะต่อกับระบบ Internet Radio เพื่อใช้ร่วมกันได้ทุกพื้นที่ เทปคำบรรยายสรุปจะมีบทบาทร่วมกับวิทยุการศึกษามากขึ้น ม้วนเทปที่ใช้บันทึกรายการวิทยุจะเปลี่ยนเป็นแผ่น CD สถานีวิทยุจะต่อเข้ากับเครือข่ายบริการร่วมระบบดิจิตอล (ISDN)
            วิทยุเพื่อการศึกษาจะเป็นสื่อหลักอย่างหนึ่งในการศึกษาทางไกล ของทุกหน่วยงานการศึกษา ทั้งหน่วยงานของกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัยจะสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยด้านวิทยุการศึกษามากขึ้น มีคณะกรรมการควบคุมและประเมินผลการใช้สื่อด้านวิทยุการศึกษาตลอดจนเพิ่มงบประมาณด้านวิทยุการศึกษามากขึ้น
            2. แนวโน้มทางด้านโทรทัศน์เพื่อการศึกษา
            โดยภาพรวมแนวโน้มเทคโนโลยีด้านการศึกษาทางไกลทางด้านโทรทัศน์เพื่อการศึกษาระบบโทรทัศน์จะต่อเข้ากับระบบ Internet Television และเปลี่ยนจากระบบ Analog มาเป็นระบบ Digital Television (DTV) โทรทัศน์ โทรศัพท์ และคอมพิวเตอร์ จะเชื่อมเป็นหนึ่งเดียวกันจะทำให้การเรียนการสอนไม่มีขีดจำกัดในเรื่องระยะทางและเวลา ระบบโทรทัศน์จะเข้าสู่ระบบ Internet Television สามารถจัดการเรียนการสอนในระบบ Course on Demand โดยอาศัย Cable Television Network และระบบโทรทัศน์จะใช้ Band Width ต่ำเพื่อประหยัดด้านทรัพยากรความถี่ วัสดุอุปกรณ์ด้านโทรทัศน์การศึกษาจะเป็นลักษณะสื่อประสมเป็นการใช้สื่อแบบผสมผสานนำเสนอให้ผู้เรียนรู้ได้กว้างขวางและเข้าใจง่ายโดยจัดเป็นรูปของสื่อสำเร็จรูป มีการใช้ชุดการเรียนแบบ Interactive Television มีการนำอุปกรณ์ที่ใช้ระบบ DVD (Digital Video Disk) มาใช้ร่วม เครื่องรับโทรทัศน์จะนิยมใช้จอภาพขนาด 29 นิ้วขึ้นไป และใช้ร่วมกับเครื่องเล่น Video Compact Disc และมีอุปกรณ์แปลงสัญญาณของระบบ Cable Television
            โทรทัศน์เพื่อการศึกษาจะเป็นสื่อหลักอย่างหนึ่งในการศึกษาทางไกลอย่างที่มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีนโยบายในการสนับสนุนให้มีการศึกษาวิจัยทางด้านโทรทัศน์การศึกษา จัดงบประมาณเพิ่มมากขึ้น ร่วมกันหน่วยงานของเอกชนและหน่วยงานของรัฐบาลเพื่อจัดระบบโทรทัศน์การศึกษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น มีคณะกรรมการควบคุมและประเมินผลการใช้สื่อด้านโทรทัศน์เพื่อการศึกษาและให้มีศูนย์โทรทัศน์เพื่อการศึกษาเกิดขึ้นตามสาขาวิทยบริการต่าง ๆ
            3. แนวโน้มทางด้านการประชุมทางไกลเพื่อการศึกษา
            โดยภาพรวมแนวโน้มเทคโนโลยีด้านการศึกษาทางไกลทางด้านการประชุมทางไกลเพื่อการศึกษา วิธีการของการประชุมทางไกลจะใช้ผ่านดาวเทียมและสายโทรศัพท์ที่เป็นระบบดิจิตอล และใช้คอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการประชุมทางไกลจะมีบทบาทมากในการศึกษาอบรม สัมมนา และการจัดการเรียนการสอน เป็นกลุ่มย่อย เป็นกลุ่มใหญ่ หรือมวลชน ตั้งแต่ระดับปริญญาตรี ปริญญาโทและปริญญาเอก ทำให้สามารถรับนักศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดจำนวนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนจะเปลี่ยนเป็นแนว Any Time / Anywhere ซึ่งในส่วนของทบวงมหาวิทยาลัย บุคลากรของมหาวิทยาลัยจะพร้อมเข้าสู่ระบบ E-University จะมีการนำระบบโทรศัพท์มือถือที่มีกล้องขนาดเล็กติดอยู่มาประยุกต์ใช้กับระบบการสอนทางไกล การขยายเครือข่ายทำได้ง่ายและประหยัด เทคโนโลยีบีบอัดสัญญาณทำให้ลดขนาดของสัญญาณสื่อสารภาพและเสียงจะมีประสิทธิภาพสูง และมีการจัดตั้งสถานีการสื่อสารทางไกลระบบ 2 ทางเพื่อการศึกษาบนเครือข่ายบริการร่วมระบบดิจิตอล (ISDN) และอินเตอร์เน็ต
           
            นอกจากนี้จะขอกล่าวเพิ่มเติมถึงในข้อมูลของรายงานการสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง บทบาทและแนวทางการพัฒนาการศึกษาทางไกลของกระทรวงศึกษาธิการในประเด็นการอภิปราย รูปแบบและแนวทางการใช้สื่อทางการศึกษาทางไกลเพื่อการเรียนรู้ในอนาคตสรุปได้ใน 3 ประเด็น ดังนี้
                   1. ประเภทของสื่อ สื่อการศึกษาทางไกลเพื่อการเรียนรู้ในอนาคต ควรมีลักษณะที่เป็นสื่อประสม มีความหลากหลายรูปแบบ หลายประเภทให้สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและสภาพการพัฒนาของประเทศและเทคโนโลยีทางการศึกษา ทั้งในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ
                        2. กลุ่มเป้าหมาย ในเรื่องของกลุ่มเป้าหมายที่ควรได้รับการบริการสื่อการศึกษาทางไกลเพื่อการเรียนรู้นั้น ควรยึดกลุ่มเป้าหมายที่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 ได้แก่ นักเรียนในระบบโรงเรียน นักศึกษานอกระบบโรงเรียน และประชาชนทั่วไป
                        3. แนวทางการใช้บริการ ในการดำเนินการให้บริการสื่อการศึกษาทางไกลเพื่อการเรียนรู้ควรดำเนินการดังนี้
                        3.1 การกระตุ้นให้เกิดความตระหนักและเห็นความสำคัญของการใช้สื่อการศึกษาทางไกลเพื่อการเรียนรู้ของกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยการประชาสัมพันธ์ การเผยแพร่ตารางออกอากาศการสำรวจความต้องการในการใช้สื่อการศึกษาทางไกล และการประเมินผลการใช้สื่อ
                        3.2 การจัดศูนย์บริการสื่อในระดับพื้นที่ ซึ่งสามารถให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายได้ทุกเวลาและมีสื่อที่หลากหลาย จำนวนเพียงพอต่อความต้องการรับบริการของกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่
            สรุปได้ว่า การใช้สื่อการศึกษาทางไกลเพื่อการเรียนรู้นั้น สิ่งที่จำเป็นต่อการพัฒนาสื่อนั้น ผู้ผลิตสื่อจะต้องมีการติดตามประเมินผลการใช้สื่อนั้น ๆ อยู่ตลอดเวลา เพื่อจะได้นำข้อมูลมาปรับปรุงและพัฒนาสื่อให้สอดคล้องกับความต้องการและสภาพของผู้ใช้สื่อ ซึ่งสื่อการศึกษาทางไกลจะต้องมีลักษณะที่หลากหลายและสะดวกในการใช้งาน สามารถให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
            4. โยงกับ พ... เนื่องจากให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ด้วยตนเองจากสื่อต่าง ๆ เป็นการฝึกฝนให้ผู้เรียนมีวินัย และความรับผิดชอบ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการปฏิรูปการเรียนรู้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 และเป็นการดำเนินการจัดการศึกษาโดยส่วนกลางที่สอดคล้องกับมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) .. 2545 ซึ่งระบุไว้ในวรรค 2 ว่า
            ในกรณีที่เขตพื้นที่การศึกษาไม่อาจบริหารและจัดการศึกษาได้ตามวรรคหนึ่ง กระทรวงอาจจัดให้มี การศึกษาขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้ เพื่อเสริมสร้างการบริหารและจัดการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาก็ได้” (4) การจัดการศึกษาทางไกลและการจัดการศึกษาที่ให้บริการในหลายเขตพื้นที่การศึกษาสถาบันการศึกษาทางไกลให้บริการการศึกษาเทียบเท่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน และการศึกษาต่อเนื่องแก่ประชาชน กลุ่มเป้าหมาย ด้วยระบบวิธีการเรียนแบบทางไกลด้วยตนเอง โดยอาจต้องไปศึกษาค้นคว้าจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ สถาบันการศึกษาทางไกลจึงได้จัดบริการสื่อหลากหลายประเภทไว้ในแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน ศูนย์การเรียน เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ด้วยตนเองแก่นักศึกษาและประชาชนอย่างต่อเนื่อง

            แนวโน้มของรูปแบบการจัดการศึกษา จะมีลักษณะดังต่อไปนี้ (สุภาณี เส็งศรี, 2543)
            1. จัดการเรียนการสอนตามความพร้อมแบบไม่จำกัดเวลา สถานที่ โดยเน้นปริมาณแต่คำนึงถึงคุณภาพเพื่อมาตรฐานการศึกษา
            2. ปฏิรูปการเรียนรู้โดยมุ่งจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
            3. มุ่งพัฒนา จัดหา และส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในกระบวนการเรียนการสอนทางไกล เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเข้าถึงแหล่งวิทยาการอย่างอิสระ
            4. ลดข้อจำกัดทางการศึกษาโดยเฉพาะมุ่งเน้นความเท่าเทียมทางการศึกษาในทุกชุมชนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งลดปัญหาการขาดผู้สอนซึ่งมีความรู้ความสามารถ
            5. เน้นการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย และรับผิดชอบต่อสังคม
            6. สร้างความร่วมมือระหว่างองค์กร/สถาบันต่าง ๆ เพื่อแลกเปลี่ยนวิชาการทั้งระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนานาชาติ

            แนวโน้มการศึกษาทางไกลในด้านการบริหารและการจัดการ การศึกษาทางไกลถือได้ว่าเป็นกระบวนการศึกษาต่อเนื่องตลอดชีวิต จำเป็นต้องมีการจัดระบบการจัดการที่สอดคล้องกับการเรียนรู้ด้วยตนเอง รัฐควรเน้นในเรื่องการประสานงานและการระดมกำลังทั้งคนและความคิด มาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพราะในปัจจุบันการบริหารและการจัดการยังคงเน้นรูปแบบรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง ศูนย์กลางจะเป็นตัวควบคุมและสั่งการไปยังส่วนภูมิภาค ยังไม่มีการกระจายอำนาจที่ดีพอ การประสานงานต่าง ๆ ยังคงเกิดปัญหา อีกทั้งการจัดการศึกษาก็ไม่สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ดังนั้นรัฐจึงควรมีการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นและภูมิภาค ระดมกำลังทั้งคนและความคิดเพื่อนำมาใช้ในการศึกษา มีการใช้ทรัพยากรที่ถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งการบริหารงานแบบนี้จะทำให้ท้องถิ่นและภูมิภาคได้มีโอกาสและมีบทบาทในการกำหนดทิศทางในการบริหารและการจัดการทางการศึกษา ซึ่งการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นและภูมิภาคจะสร้างผลดีกว่าการบริหารและการจัดการแบบก่อนที่เน้นศูนย์กลางเป็นหลัก

            แนวโน้มการศึกษาทางไกลในด้านงบประมาณ ควรจะมีการเพิ่มงบประมาณในการผลิตวิจัย พัฒนาสื่อและบุคลากร การติดตามผลและการประเมินผล ควรมีการตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบในการจัดสรรงบประมาณ งบประมาณของการศึกษาทางไกลในอนาคตน่าจะได้รับงบประมาณมาจากภาครัฐและภาคเอกชน จึงควรมีการจัดสรรงบประมาณให้มีความเหมาะสม ถูกต้องและยุติธรรมเพื่อที่จะสามารถนำงบประมาณเหล่านั้น ไปพัฒนาการศึกษาทางไกลให้มีความเหมาะสมและให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

            แนวโน้มการศึกษาทางไกลในด้านประเภทของสื่อ
            สื่อคอมพิวเตอร์ ระบบ Internet ดาวเทียม และโทรทัศน์ น่าจะเป็นสื่อที่ใช้ในการศึกษาทางไกลมากที่สุด ซึ่งสื่อเหล่านี้จะเข้ามามีบทบาทแทนที่สื่อเก่า ๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุกระจายเสียง เป็นต้น
            ในปัจจุบันเทคโนโลยีได้มีความเจริญก้าวหน้าและพัฒนาไปมาก สื่อในการศึกษาทางไกลจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัย ซึ่งสื่อประเภทคอมพิวเตอร์และระบบ Imternet ระบบดาวเทียมและโทรทัศน์ ถือได้ว่าเป็นสื่อการเรียนการสอนสมัยใหม่ เป็นสื่อประสม ซึ่งทำให้ผู้สอนกับผู้เรียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้ มีการโต้ตอบกันได้ และมีผลย้อนกลับ (Feed Back) ผู้เรียนเกิดความสนใจและอยากที่จะเรียนรู้ตลอดเวลา อีกทั้งในระหว่างการเรียนการสอน ผู้เรียนถ้าเกิดไม่เข้าใจหรือสงสัยเกี่ยวกับเนื้อหาของวิชา ก็สามารถที่จะสอบถามกับผู้สอนได้ทันที แต่สื่อในลักษณะนี้ยังมีราคาที่ค่อนข้างสูง และยังมีไม่แพร่หลายมากนัก ดังนั้น สื่อการศึกษาทางไกลควรจะเน้นให้มีการสื่อสารในลักษณะที่เป็นผลย้อนกลับ ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน เพราะความแตกต่างของระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนจะเห็นได้ว่า คนเราสามารถจำในสิ่งที่ตนอ่านได้เพียงร้อยละ 10 จำในสิ่งที่ได้ยินร้อยละ 20 จำในสิ่งที่ได้เห็นร้อยละ 30 จำในสิ่งที่ได้ยินและได้เห็นร้อยละ 50 จำในสิ่งที่พูดร้อยละ 70 จำในสิ่งที่พูดและปฏิบัติร้อยละ 90 (Raudsepp 1979 อ้างถึงใน น้ำทิพย์ สุนทรนันทา 2534) ซึ่งแสดงว่า สื่อที่ใช้ในกระบวนการเรียนการสอนถ้าเป็นสื่อที่ให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติได้ ยิ่งปฏิบัติได้มากเท่าใดก็จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ดังนั้นสามารถสรุปได้ว่า สื่อการสอนแบบเก่าที่เป็นแบบสื่อทางเดียว จะทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพต่ำ และสื่อสมัยใหม่ที่เป็นลักษณะสองทางจะทำให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพในการเรียนรู้มากกว่า
            แนวโน้มการศึกษาทางไกลในด้านบุคลากร ในการศึกษาทางไกล จำเป็นต้องมีบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการศึกษาทางไกล ซึ่งได้แก่
            นักเทคโนโลยี
          นักเทคโนโลยีถือได้ว่ามีบทบาทอย่างมากในการจัดการศึกษาทางไกล เพราะนักเทคโนโลยีจะอยู่ในฐานะ ผู้ผลิต ผู้พัฒนา ผู้ใช้และผู้ให้บริการ
            การศึกษาในปัจจุบันและในอนาคต จะเปิดโอกาสให้ทุกคนได้มีโอกาสได้เรียน รัฐก็ให้ความสำคัญกับการศึกษา เพราะ คนเราสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต นักเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษาทางไกล และจะมีบทบาทสำคัญมากในอนาคต เพราะ นักเทคโนโลยีอยู่ในฐานะ ผู้ผลิต สื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนทางไกล ต้องมีการผลิตสื่อที่มีความเหมาะสมกับผู้เรียน สื่อการเรียนการสอนที่ดีเรียนแล้วเกิดประสิทธิภาพในการเรียนมากยิ่งขึ้น การเรียนก็จะประสบความสำเร็จ ดังนั้นนักเทคโนโลยีต้องมีการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางการศึกษา เรื่องเทคโนโลยี เพื่อนำสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มาสร้าง พัฒนาและปรับปรุง สื่อการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เมื่อผู้เรียนนำไปใช้ในการศึกษาแล้วทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
            จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 หมวด 9 มาตรา 63 นั้น นักเทคโนโลยีการศึกษาอาจถือได้ว่าเป็น ผู้ใช้ เพราะรัฐได้มีการจัดสรรคลื่นความถี่ สื่อตัวนำและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำหรับการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การทะนุบำรุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมตามความจำเป็น ดังนั้นนักเทคโนโลยีการศึกษา จึงสามารถที่จะใช้คลื่นความถี่ สื่อตัวนำ หรือโครงสร้างพื้นฐานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม หรือสื่ออื่น ๆ เพื่อนำสื่อต่าง ๆ เหล่านี้มาใช้ในการศึกษาทางไกล เพื่อให้การศึกษาทางไกลเกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น การศึกษาทางไกลจะเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษา ให้ผู้เรียนที่อยู่ตามพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศไทย ได้มีโอกาสที่จะได้รับการศึกษา อีกทั้งยังสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนอาจารย์หรือครูผู้สอนได้อีกด้วย การเรียนการสอนทางไกลทำให้เกิดความเสมอภาคทางการศึกษา เป็นการกระจายการศึกษาไปสู่ทุกภูมิภาคของประเทศโดยเฉพาะชุมชนที่อยู่ห่างไกล เป็นการศึกษาตลอดชีวิต บุคคลทั่วไปที่สนใจสามารถเรียนรู้ได้ ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการพัฒนาคุณภาพประชากรของประเทศได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งการเรียนการสอนทางไกลยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้สอนหรือครูที่จะต้องเดินทางไปสอน และของผู้เรียนหรือนักเรียนที่จะต้องเดินทางมาเรียนได้อีกทางหนึ่ง แต่เมื่อรัฐได้มีการจัดสรรคลื่นความถี่แล้ว ก้ต้องมีมาตรการที่คอยระวังไม่ให้พวกที่ทุจริต นำเอาสื่อต่าง ๆ ไปใช้ในทางที่ผิดหรือเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง เจตนาที่ดีของรัฐอาจจะกลายเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลบางกลุ่มได้ และในอนาคตเทคโนโลยีต้องมีความเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น นักเทคโนโลยีต้องมีการติดตามข่าวสารและเรียนรู้เทคโนโลยีอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่จะสามารถทำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เหล่านั้นมาใช้ในการศึกษาทางไกลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นต่อไป
            สังคมในปัจจุบัน ได้กลายเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ การจัดการฝึกอบรม ก็ถือได้ว่า เป็นหน้าที่ของนักเทคโนโลยีเพราะนักเทคโนโลยีจะอยู่ในฐานะ ผู้ให้บริการ เพราะในการศึกษาทางไกล จำเป็นต้องมีการจัดการฝึกอบรมให้กับผู้สอน เพราะผู้สอนจำเป็นต้องมีการเรียนรู้เครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน เช่น การเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น เมื่อผู้สอนได้รับการฝึกอบรมไปแล้ว ก็จะสามารถรู้วิธีการใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในสอน และจะทำให้การเรียนการสอนทางไกลเกิดประสิทธิภาพตามไปด้วย

            ผู้สอนในการศึกษาทางไกล
            ครูหรือผู้สอนทางไกล มีแนวโน้มที่จะมีบทบาทมากขึ้นในอนาคต เพราะการศึกษาทางไกลได้เริ่มเข้ามามีบทบาทในการจัดการศึกษาและกำลังเป็นที่ยอมรับ เช่น การจัดการศึกษาทางไกลของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ก็ถือได้ว่าเป็นการจัดการศึกษาทางไกลและเป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไปและในอนาคตจะมีการขาย พัฒนา การศึกษาทางไกลมากขึ้นไปอีก ดังนั้นครูหรือผู้สอนจึงนับความมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการศึกษาไกล ต้องมีการเตรียมการเรียนการสอนที่ดีเพื่อที่จะสามารถสอนผู้สอนให้มีความเข้าใจในบทเรียนนั้น ๆ และยังต้องมีการศึกษาและติดตามเทคโนโลยีอยู่เสมอเพื่อที่จะสามารถนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงและนำมาใช้พัฒนาการศึกษาทางไกลให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแนวโน้มของระบบอินเตอร์เน็ตกำลังเข้ามามีบทบาทในการศึกษาทางไกลเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นการสืบค้าหาข้อมูลที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว มีความสะดวกสบายในการใช้งาน หรือจะใช้ E-Mail เป็นเครื่องมือในการติดต่อระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนได้ ครูหรือผู้สอนอาจใช้ประโยชน์จากระบบอินเตอร์เน็ตมาใช้ในการศึกษาทางไกล อาจจะเป็นการสร้าง Homepage ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นสื่อในการเรียนการสอน ถ้าหากผู้เรียนเกิดความไม่เข้าใจในการเรียนการสอน ผู้เรียนสามารถเข้ามาศึกษาเนื้อหาวิชาที่เรียนไปได้ตลอดเวลา หรืออาจจะมีการสอบถามเรื่องที่ไม่เข้าใจกับผู้สอนได้โดยทาง E-Mail หรือทาง Web-Board จะทำให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจเนื้อหาวิชาที่เรียนมากยิ่งขึ้น
            ในอนาคตระบบอินเตอร์เน็ตจะมีบทบาทในการจัดการศึกษาเป็นอย่างมาก เทคโนโลยีจะมีการพัฒนามากยิ่งขึ้น การติดต่อสื่อสารสามารถทำได้ง่าย ปัจจุบันผู้สอนสามารถสอนหนังสือผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ตซึ่งก็คือ การศึกษาทางไกล ทำให้เป็นการกระจายความรู้ไปสู่ชนบท ภูมีภาคต่าง ๆ ให้มีความเท่าเทียมกันทางการศึกษา ไม่ใช่มีการกระจุกตัวอยู่แต่ในส่วนกลาง จากความคิดของพ่อแม่ที่ว่า ถ้าอยากให้ลูกเรียนหนังสือเก่ง ๆ ต้องส่งเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ ความคิดเหล่านี้กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะการศึกษาทางไกลจะทำให้ทุกคนสามารถเรียนได้เท่าเทียมกันทั้งหมด แต่การที่ผู้เรียนจะเรียนได้ดีหรือไม่ดีนั้น ต้องขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเองว่าให้ความสนใจกับการศึกษามากน้อยแค่ไหน
การสอนผ่านระบบอินเตอร์เน็ตในปัจจุบันก็ถือได้ว่าดีในระดับหนึ่ง อาจจะมีการล่าช้าหรือกระตุกบ้างเป็นบางครั้งเพราะอาจเกิดจากการรีเลย์ของระบบ แต่ในอนาคตระบบอินเตอร์เน็ตคงได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นไปอีก อาจทำให้การส่งข้อมูลข่าวสารทำได้อย่างรวดเร็ว ฉับไว ไม่เกิดการผิดพลาดก็เป็นได้ ทำให้การศึกษาทางไกลมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น
            อีกทั้งรัฐก็มีการสนับสนุนการศึกษามากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบันจะเห็นได้จากการออก พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 และในอนาคตรัฐคงมีการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนการสอนมากยิ่งขึ้น เพราะการศึกษาถือได้ว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญที่จะทำให้คนมีความรู้ และถ้าคนเรามีความรู้ก็จะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิต และประเทศชาติต่อไปในอนาคต
























บรรณานุกรม

กิดานันท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ชวนพิมพ์. 2540
กิดานันท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, 2543           
เอกสารการสอนชุดวิชา เทคโนโลยีการสอน. นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2543
ชวลิต บัวรมย์. แนวโน้มด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาแบบสื่อสารทางไกลของประเทศไทยในปี พ.. 2550.
            วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2540
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษากับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์. โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย
            สุโขทัยธรรมาธิราช นนทบุรี, 2536
            การบรรยายพิเศษ เรื่อง ระบบการเรียนทางไกลผ่านเครือข่าย Internet” คณะศึกษาศาสตร์
            มหาวิทยาลัยนเรศวร, 2544
ณรงค์ จิตวิศรุตกุล การศึกษาดำเนินงานตามโครงการนิเทศทางไกลของสำนักการประถมศึกษา
          จังหวัดลำปาง. รวมบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ ปีการศึกษา 2535 บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
            กรุงเทพมหานคร.
น้ำทิพย์ สุนทรนันท. แนวโน้มการพัฒนาสื่อสำหรับการศึกษาทางไกลของกรมการศึกษานอกโรงเรียน.
            รวมบทคัดย่อวิทยานิพนธ์ ปีการศึกษา 2534 บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ.
วิจิตร ศรีสอ้าน. การศึกษาทางไกล. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2529
สถาพร จันทเรนทร์. รายงานการวิจัย เรื่อง แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการศึกษาทางไกลของมหาวิทยาลัย
            รามคำแหง ในปี พ.. 2552” สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2543
สุจิตรา บุญอยู่. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการยอมรับระบบการศึกษาทางไกลของนักศึกษาในโครงการเครือข่ายสาร
          สนเทศเพื่อพัฒนาการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย. วิทยานิพนธ์ปริญญา
            มหาบัณฑิต บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2541
สุภาณี เส็งศรี. การพัฒนาระบบการเรียนการสอนทางไกลในสถาบันอุดมศึกษา. วิทยานิพนธ์ปริญญา
            ดุษฎีบัณฑิต สาขาเทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2543.
ศึกษาธิการ,กระทรวง. บทบาทและแนวทางการพัฒนาการศึกษาทางไกลของกระทรวงศึกษาธิการ. รายงาน
            การสัมมนาทางวิชาการ. กรมการศึกษานอกโรงเรียน กรุงเทพมหานคร, 2546
แหล่งข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

มหาวิทยาลัยเสมือนจริง
ความหมาย
            ปัจจุบัน มีคำในภาษาต่างประเทศที่มีความหมายคล้ายคลึงกันกับคำว่า Virtual University หลายคำเช่น Virtual Campus, Cyber University, Cyber Campus, Online University เป็นต้น ซึ่งในประเทศไทยได้มีการใช้คำว่า มหาวิทยาลัยเสมือนจริง มหาวิทยาลัยออนไลน์ หรือ มหาวิทยาลัยโทรสนเทศ ซึ่งหมายถึง สถาบันการศึกษาออนไลน์ (Online Institutions) ที่สร้างโอกาสและเอื้ออำนวยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาความรู้ได้ โดยผู้เรียนเป็นผู้กำหนด โดยไม่จำกัดเวลา และสถานที่ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เพื่อเรียนรู้ในเนื้อหาวิชา เพื่อฝึกฝนให้เกิดทักษะ หรือเพื่อสำเร็จการศึกษา อันจะนำไปสู่ปริญญาบัตรหรือประกาศนียบัตร (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2544) หรือมหาวิทยาลัยไม่มีข้อจำกัดในด้านเวลาและสถานที่ ในมหาวิทยาลัยเสมือนจริงนั้น ไม่ว่าจะเป็นห้องเรียน ห้องทดลอง ห้องสมุด และห้องพบปะสนทนา ล้วนเปิดทำการตลอดเวลา ผู้เรียนสามารถเรียนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาจอยู่ในบ้าน ที่ทำงาน หรือที่ใด ๆ ก็ได้
            มหาวิทยาลัยเสมือน เป็นการผนวกเอาความรู้ ความสามารถ เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญจากหลายสาขาวิชา เช่น คอมพิวเตอร์ ครุศาสตร์ นิเทศศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ มาประมวลความรู้แล้วนำมาพัฒนาซอฟต์แวร์ อันนำไปสู่การเสนอ (Delivery) องค์ความรู้ และความร่วมมือกัน (Collaboration) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ มหาวิทยาลัยเสมือนจึงเป็นการนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ในปัจจุบัน และอนาคตอันใกล้ เช่น อินเทอร์เน็ต วีดีโอออนดีมานด์ มาประยุกต์ใช้ในระบบการเรียนการสอนชนิดนี้ ให้มีคุณภาพเทียบเท่าหรือดีกว่าระบบการเรียนการสอนแบบเดิม
            นอกจากนี้ Steve Ryan และคณะ (2000) ได้เสนอความหมายของ Virtual Education Institution ซึ่งเป็นที่มาของ Virtual University ไว้ 2 ลักษณะ ดังนี้
            1. An institution which is involved as a direct provider of learning opportunities to students and is using information and communication technologies to deliver its programmes and courses and provide tuition support. Such institutions are also likely to be using information and communication technologies for such other core activities as:
-          administration (e.g., marketing, registration, student records, fee payments, etc);
-          materials development, production, and distribution;
-          delivery and tuition;
-          career counseling/advising, prior learning assessment, and examinations.
2. An organization that has been created through alliances/partnerships to facilitate teaching and learning to occur without itself being involved as a direct provider of instruction. Examples of such organizations would be the Open Learning Agency of Australia, the emerging Western Governors University in the United States, and the National Technological University. (Farrell, online)
โดย Rumble (1997, p.60 อ้างถึงใน Steve Ryan และคณะ, 2000) ได้ยอมรับคำจำกัดความทั้งสองนี้ และรวมเอาความหมายของคำจำกัดความทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน โดยเพิ่มการใช้ World Wide Web และเทคโลโลยีอินเตอร์เน็ตมาอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอนผ่านเว็บในระดับอุดมศึกษา (Higher Education)
จากคำนิยามและความหมายข้างต้น สรุปได้ว่า “Virtual University” หมายถึง สถาบันการศึกษาที่มีการจัดการเรียนการสอน ไม่ว่าจะเป็นการบริหารการศึกษา การให้บริการทางการศึกษา อุปกรณ์การศึกษา การให้คำปรึกษา และการศึกษา ผ่านเว็บไซต์โดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการจัดการดำเนินการ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนสามารถที่จะกำหนดเวลาเรียน เรียนรู้ได้ทุกที่ ทุกเวลา ตามความต้องการของตนเอง ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต

การพัฒนาของมหาวิทยาลัยเสมือนจริง
            จากการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสาร โทรคมนาคม และอินเตอร์เน็ตส่งผลต่อระบบการอุดมศึกษาของโลก ในหลายประเทศมีการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว ในการให้บริการการศึกษา ทั้งในรูปของการศึกษาในระบบ การให้การศึกษาต่อเนื่องแก่ผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน และการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นการให้บริการด้านการเรียนรู้ภายใต้หลักการที่สำคัญคือ ความยืดหยุ่น (Flexibility) ความสามารถในการเข้าถึง (Accessibility and Affordability) คุณภาพ (Efficiency) และความสามารถในการรวบรวมความรู้ (Wisdom of Collection) ซึ่ง Perrin (1995 อ้างถึงใน วิริยะ วงศ์เลาหกุล 2543) ได้คาดการณ์ถึงลักษณะของมหาวิทยาลัยในอนาคตดังนี้
            1. เป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่มีกำแพงขวางกั้น ซึ่งผู้เรียนสามารถเลือกหลักสูตรหลายวิชา และอาจารย์ที่ปรึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และสถาบันทางเทคนิคต่าง ๆ ทั่วโลก
            2. เป็นมหาวิทยาลัยที่ออกแบบ สำหรับคนที่ไม่สามารถเรียนตามกรอบประเพณีในรูปแบบโรงเรียน ให้สามารถเรียนเวลาใดก็ได้ สถานที่ใดก็ได้ และผู้เรียนเป็นผู้กำหนดทางเลือก
            3. เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดทำการตลอดเวลา
            4. เป็นมหาวิทยาลัยนานาชาติ มีวัฒนธรรมและภาษาที่หลากหลาย ซึ่งหลักสูตรต่าง ๆ กำเนิดมาจากนานาประเทศ นานาวัฒนธรรม และนานาภาษา
            5. ผู้เรียนเป็นผู้กำหนดแบบแผนการเรียนด้วยตนเอง บนฐานของความสนใจง
            6. คอมพิวเตอร์ มัลติมีเดีย ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และทางด่วนข้อมูลข่าวสาร มีบทบาทสำคัญในการจัดหารายวิชาและบริการที่มีการปฏิสัมพันธ์เต็มรูปแบบ
            7. จัดหลักฐานที่เอื้อต่อความต้องการในอนาคต และเตรียมผู้เรียนให้ทำงานได้อย่างแท้จริง
            8. เป็นมหาวิทยาลัยที่ตอบสนองคนอัจฉริยะ คนสร้างสรรค์ และคนที่ชอบทำงานร่วมกัน และแผนการเรียนการสอนเป็นแบบที่ปรับตัวกับอนาคต
            จากการพัฒนาทางเทคโนโลยีโทรคมนาคม คอมพิวเตอร์ และระบบสารสนเทศ ได้เข้ามามีบทบาทต่อวงการการศึกษาในทุกระดับมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทในแง่ของการสื่อสารและการผลิตสื่อการสอนที่สามารถติดต่อถึงกันได้รวดเร็ว และจากความต้องการใหม่ทางด้านการศึกษา ทำให้เกิดมีการนำแนวความคิดของพัฒนาการดังกล่าว มาสร้างเป็นมหาวิทยาลัยเสมือน (Cyber University) ที่กำลังนิยมในต่างประเทศ ในขณะที่ประเทศไทยกำลังสนใจที่จะนำระบบนี้มาใช้กับ ระบบการเรียนการสอนทางไกล หวังเพียงว่าจะพัฒนาเครือข่ายการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยให้มีประสิทธิภาพ และเป็นเลิศทางวิชาการ ตามแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 8 นายไพบูรณ์ คะเชนทรพรรค์ รองคณบดีสาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชกล่าวว่า จากข้อจำกัด หรือจุดอ่อนการเรียนการสอนในระบบทางไกลนั้น จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเน้นใช้สื่อพิมพ์เป็นหลัก ทำให้การเรียนการสอนในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาวิชาคำนวน เช่น เศรษฐศาสตร์ สถิติ คณิตศาสตร์ มักจะเกิดปัญหาเพราะการอ่านด้วยตนเองนั้นจะเป็นการยากเกินไป ในขณะเดียวกันสาขาวิชานิเทศศาสตร์เอง ก็ยังได้รับผลกระทบด้วย กล่าวคือ นักศึกษาขาดทักษะเนื่องด้วยธรรมชาติของศาสตร์ทางด้านนี้ จะต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติแทบทุกรายวิชา จึงเห็นว่าการจะแก้ปัญหาตรงจุดนี้ น่าจะนำแนวความคิดของมหาวิทยาลัยเสมือนมาใช้กับการศึกษาทางไกลได้ เพราะว่าการพัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถที่จะนำระบบมาเสริมช่องว่างให้ครบวงจรมากขึ้นขณะเดียวกัน
            จากกรณีปัญหาดังกล่าว ทางคณะนิเทศศาสตร์ได้พยายามที่จะจุดประกายแนวคิดในเรื่องมหาวิทยาลัยเสมือนจริง ด้วยการจัดอภิปรายเชิงวิชาการ ผลจากการอภิปราย พบว่า นักวิชาการหลายฝ่ายได้ตั้งข้อสังเกตถึงแนวทางความเป็นไปได้ว่า ในการที่จะเป็นมหาวิทยาลัยเสมือนจริงนั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงในเรื่องของงบประมาณสูงแล้ว ประเด็นที่สำคัญที่สุด จะต้องเข้าใจในโครงสร้างของระบบให้ดีเสียก่อน และก่อนที่จะเริ่มต้นนั้นควรที่จะต้องสร้างจินตนาการให้ได้ว่าเราต้องการอะไร เพราะบทสรุปที่ผ่านมาพบว่า การพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือนั้นจะไปเร็วกว่าการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ทำให้เกิดช่องว่างที่จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพได้หรือที่เรียกว่าการตกเป็นทาสเทคโนโลยีพร้อมกันนี้ ก็ยังมีข้อถกเถียงว่านักศึกษาที่เรียนจบจากระบบนี้ จะมีศักยภาพเทียบเท่าผู้ที่เรียนในมหาวิทยาลัยธรรมดาหรือไม่ เพราะข้อจำกัดในเรื่องการทำกิจกรรมร่วมกันของนักศึกษาไม่สามารถทำได้เหมือนกับมหาวิทยาลัยธรรมดา รวมไปถึงบทบาทของอาจารย์ผู้สอนที่จะสามารถตอบสนองกับระบบใหม่นี้ได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มองว่าการเรียนการสอนในลักษณะมหาวิทยาลัยเสมือนเป็นเรื่องที่ดี ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนอย่างเต็มที่ ทุกอย่างเบ็ดเสร็จอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ซึ่งถ้ามองจากระบบแล้ว สามารถเอื้อประโยชน์ให้กับการเรียนการสอนทางไกลที่มีลักษณะเป็นการสื่อสาร 2 ทาง ผู้เรียนผู้สอนสามารถโต้ตอบกันโดยตรงได้ทันทีพร้อมกันหลายจุด ที่สนับสนุนการใช้ Multimedia แต่ทว่าในแง่ของการริเริ่มที่จะนำไปสู่รูปธรรมนั้น ส่วนใหญ่มองว่ายังต้องศึกษาในรายละเอียดอีกมากนายไพบูรณ์ กล่าวต่อว่า ทางคณะอาจารย์ของสาขานิเทศศาสตร์ได้ทำแบบจำลองการเรียนการสอน สาขาวิชานิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเสมือนขึ้นมา เพื่อต้องการสร้างเป็นกรอบความคิดในการที่จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในเบื้องต้นจะนำผลการประชุมวิชาการที่ผ่านมาในการประมวลแนวคิดพื้นฐานว่าควรที่จะพัฒนากรอบความคิดออกไปอย่างรวมถึงข้อเท็จจริงในเรื่องของเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับระบบการศึกษาเมืองไทย หลังจากที่ได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว ก็จะเสนอให้ทางคณะนิเทศศาสตร์อนุมัติเป็นแผนการเรียนการสอนของทางคณะต่อไป
            การพัฒนามหาวิทยาลัยเสมือนจริงในประเทศไทยกำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ โดยมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของไทย ได้กำหนดนโยบายและเริ่มมีการพัฒนามหาวิทยาลัยเสมือนจริงกันอย่างแพร่หลาย เช่น
           
            มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เริ่มดำเนินการเรื่อง Virtual University โดยการผลักดันให้มีการพัฒนา คณาจารย์ในการเรียนรู้ เพื่อให้มีความเข้าใจกับเรื่องสารสนเทศก่อนที่จะเข้าสู่ระบบ Virtual University ซึ่งปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ได้ใช้ระบบการเรียนการสอนผ่านระบบ VDO Conference ระบบการเรียนการสอนแบบ ซิงโครนัส Synchronous Instruction และ อะซิงโครนัส Asynchronous มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ Instruction ซึ่งผลการเรียนของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จังหวัดสกลนคร จะได้รับผลดีกว่าที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ในวิชาเดียวกัน นอกจากนี้ อาจารย์มีการปรับกระบวน การสอนที่ดีมากขึ้น ส่วนในเรื่องของอะซิงโครนัส จะเน้นการเรียนรู้แบบ Interactive Learning นอกจากนี้แล้ว ยังมีระบบการสืบค้นข้อมูลผ่าน Internet ซึ่งทำให้นิสิตมีการค้นคว้าความรู้ใหม่ขึ้นมา มีการศึกษาด้วยตนเองจาก ระบบต่าง ๆ ทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้สร้างปัญญาให้กับผู้เรียนมากยิ่งขึ้น

            มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งมีประสบการณ์ทางด้านนี้พอนมควร และได้พยายามทำ Courseware เพื่อให้นักศึกษาได้นำมาใช้ประโยชน์ ปรากฏว่านักศึกษามีความสนใจในระยะแรก และเมื่อประเมินผลการใช้ Courseware แล้ว ได้รับผลดีในบางวิชาทางด้านแพทย์ ส่วนทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น ผลที่ออกมาไม่ได้รับความสนใจจากนักศึกษาเท่าที่ควร และมหาวิทยาลัยยังได้จัดทำโครงการ Mahidol University Campus
Network จะมีเครือข่ายเชื่อมมหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตศาลายา โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลพญาไท ซึ่งก็ได้รับผลดี

            สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ขณะนี้ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กำลังมีแนวทางที่จะจัดหลักสูตร Virtual University ร่วมมือกับต่างประเทศ โดยกำลังศึกษารูปแบบที่เป็นไปได้ และมหาวิทยาลัยสนับสนุนให้มีการจัดอบรมความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ให้กับคณาจารย์ ซึ่งต้องมาวิเคราะห์ว่าจะมีวิธีการอย่างไร ที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ และสัมฤทธิผล วิธีการเลือกวิชาและปรับกระบวนการเลือกวิชา เป็นการปรับปรุงกระบวนการทั้งหมด โดยนำวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอนมาเป็นหลักพร้อม ทั้งพัฒนาสื่อต่าง ๆ ให้สอดคล้องกัน ปัญหาที่พบคือ การเรียนทางสื่อนักศึกษาทุกคนต้องมีคอมพิวเตอร์นั้นไม่สามารถ ทำได้ทุกคน หากจะสอนใน Campus ก็ต้องมาจัดจำนวนคอมพิวเตอร์ให้สอดคล้องกัน

            มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ดำเนินการใน 3 เรื่อง Web-based instruction และระบบ CAI ในขณะนี้ได้ทำชุดบทเรียนที่เป็น Web-based instruction สำหรับหลักสูตรปริญญาโทจำนวน 3 วิชา โดยจะเน้นหนักทางด้านศึกษาศาสตร์ และต่อไปกำลังจะนำรายการวิทยุและรายการโทรทัศน์ประกอบชุดวิชา มาแปลง เป็นระบบ VDO on demand ซึ่งเป็นขั้นตอนต่อไปที่จะดำเนินการ ส่วนในเรื่อง Web-based instruction หรือใน เชิงของการใช้ Web technology เข้ามาเป็นสื่อเสริม เพื่อให้สามารถจัดการเรียนการสอนให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและปฏิสัมพันธ์ให้กับนักศึกษา และการทำ courseware ต่าง ๆ ในรูปแบบของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
            จากการประชุมเรื่อง Virtual Education Forum เมื่อวันที่ 29 มกราคม 2544 พบว่าพัฒนามหาวิทยาลัยเสมือนจริงในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อยู่ในระหว่างดำเนินการและได้ประสบปัญหาในการพัฒนาและจัดการรูปแบบการบริหารจัดการระบบ Virtual University ซึ่งสรุปได้ดังนี้
            1. มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของรัฐได้มีการเริ่มพัฒนาระบบการเรียน การสอนแบบออนไลน์มากขึ้น ทั้งยังมีโครงข่ายการเรียนการสอนทั้งแบบ Synchronous และการเรียนการสอนแบบ Asynchronous และระบบ VDO Conference ซึ่งระบบต่าง ๆ ยังอยู่ในระยะเริ่มต้นของการพัฒนาในแต่ละมหาวิทยาลัย
            2. การพัฒนาระบบ Virtual University ต้องคำนึงถึงงบประมาณในการพัฒนา เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้บริหารของมหาวิทยาลัยอย่างเต็มที่
            3. ระบบ Virtual University บางมหาวิทยาลัยยังเป็นเพียงแนวความคิดริเริ่ม ซึ่งยังไม่มีการดำเนินงาน อย่างจริงจัง เนื่องจากยังขาดความเข้าใจในระบบดังกล่าว และระบบ IT ยังมีน้อย
            4. ต้องมีมาตรการหรือเป้าหมายเพื่อพัฒนา และใช้แนวความคิดในการพัฒนาผู้สอนโดยทำความเข้าใจ ระบบการศึกษาทางไกลระบบต่าง ๆ ให้กับคณาจารย์ผู้สอน เพื่อให้เกิดทัศนะคติที่ดีและเกิดการยอมรับ
            5. รูปแบบการเรียนการสอนในระบบการศึกษาทางไกล จะมีผลกระทบต่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง อาจารย์ผู้สอนกับผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนต้องการที่จะพบผู้สอนมากกว่าที่ต้องฝึกทักษะกับคอมพิวเตอร์
            6. การวัดผลการเรียน และการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาระหว่างการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ กับระบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนนั้น ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ส่วนการเรียนการสอนแบบไม่จำกัดเวลา พบว่าประสิทธิภาพการเรียน การสอนอยู่ในระดับดีพอสมควร
            7. วัฒนธรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน ไม่สามารถคาดหวังได้ว่าผู้เรียน มีการรับรู้จากระบบนี้มากน้อยเพียงใด
            8. ในส่วนของอุปกรณ์การเรียนในหลาย ๆ ระบบดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ส่วนใหญ่ยังมีอุปกรณ์ไม่พร้อม และมีความล้าหลังของเทคโนโลยี ซึ่งต้องมีการปรับปรุง อีกทั้งสัญญาณเครือข่ายบางพื้นที่ ยังไม่สะดวกที่จะดำเนินการในระบบดังกล่าว
            จากแนวคิดเรื่องมหาวิทยาลัยเสมือนจริงความเป็นไปได้คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของทางมหาวิทยาลัยเพียงฝ่ายเดียว เนื่องจากการเรียนการสอนระบบนี้ ผู้เรียนจะต้องมีคอมพิวเตอร์อยู่ที่บ้านด้วย ในการตั้งข้อสังเกตที่ว่า ความพร้อมของผู้เรียนในแต่ละพื้นที่ต่างจังหวัดแตกต่างกันไป เพราะฉะนั้น การที่จะนำแนวคิดมหาวิทยาลัยเสมือนมาใช้ ยังต้องศึกษาตลาดผู้เรียนในแง่ของกำลังความสามารถที่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองมิฉะนั้นแล้วผลที่ได้อาจจะไม่คุ้มกับที่เสียไปดังที่เป็นมาแล้วหลาย ๆ โครงการ

แนวโน้มของมหาวิทยาลัยเสมือนจริง
            การเปลี่ยนแปลงในการใช้เทคโนโลยีโดยการศึกษาเป็นสิ่งที่ทำนายได้ยากในอนาคต อย่างไรก็ตามอีก 5 ปีข้างหน้า จะเห็นได้ว่ามีการเพิ่มขึ้นของเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นอินเตอร์เน็ต หรือ www (World Wide Web) การสอนแบบบรรยายจะลดบทบาทลง และการเรียนรู้แบบมีปฏิสัมพันธ์โดยใช้คอมพิวเตอร์ผ่านเครือข่ายจะเป็นเรื่องปกติในการเรียนการสอน และการขยายตัวของธุรกิจจะช่วยให้การจัดการเรียนการสอนประสบความสำเร็จมากขึ้น อย่างไรก็ตามการลงทุนด้านการเงินของบริษัทธุรกิจอาจทำให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์และอาจจะมีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของธุรกิจนั้นได้ ในส่วนของผู้เรียนจะมีประชากรของผู้เรียนเพิ่มมากขึ้น และแต่ละคนจะมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ความรู้ทั้งในที่ทำงานและที่บ้านได้ สิ่งที่จะช่วยผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่อง (Continuing education) นั่นก็คือการศึกษาผ่านเทคโนโลยีชั้นสูงนั่นเอง (High technology)
            สำหรับแนวโน้มของการศึกษาระดับอุดมศึกษา (Higher education) ในอีก 30 ปีข้างหน้า Peter Drucker ผู้เชี่ยวชาญด้านให้คำปรึกษาการจัดการและนักเขียน ได้กล่าวว่า (Lenzner and Johnson, 1997 อ้างถึงใน Roy Rada, 2001)
            Thirty year from now the big university campuses will be relics…It’s as large a change as when we first got the printed book. Do you realize that the cost of higher education has risen as fast as the cost of health care?…Such totally uncontrollable expenditures. Without any visible improvement in either the content or the quality of education, means that the system is rapidly becoming untenable.
            ในบทที่ 10 “Around the corner” ในหนังสือ The Virtual University : The Internet and Resource Based Learning ซึ่ง Steve Ryan และคณะ (2000) ได้กล่าวถึง อนาคตของการศึกษา ว่าการพัฒนาเทคโนโลยีอนาคตจะมองถึง
-          the creation of seamless systems;
-          intelligent agents;
-          electronic publishing;
-          universal systems for “managing knowledge”;
-          Virtual reality amd virtual presencing.
ซึ่งใน The creation of seamless systems ได้กล่าวถึง Databases to do with curricula may be accessed by
-          นักเรียนปรารถนาที่จะรู้เกี่ยวกับรายวิชาและการเข้าถึงแหล่งข้อมูล
-          บุคลากรทางการศึกษาต้องการที่จะพัฒนารายวิชา


            - บุคลากรที่มีส่วนในการรับผิดชอบในเรื่องการจัดหลักสูตร การตรวจสอบคุณภาพ การจัดตารางเวลา และการจัดแหล่งข้อมูล
-          ผู้มาเยือนมหาวิทยาลัยต้องการจะรู้ถึงสิ่งที่จะได้รับ
-          บุคลากรในการจัดการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ หรือวิชาเฉพาะด้าน
-          สถาบันอื่น ๆ เข้ามามีส่วนในการทำโครงการร่วมกัน
Intelligent agent จะมีส่วนช่วยในการค้นหาและกลั่นกรองแหล่งข้อมูล ข่าวสารรวมทั้งการสรุปความและแปลความ โดยพัฒนาการเรียนการสอนให้เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง (Individualized) และสนับสนุนการพัฒนาการสอนและรายวิชาต่าง ๆ
Electronic publishing ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารทางเว็บจะเป็นเรื่องปกติ ข้อมูลจะถูกพิมพ์ออกมาได้ตามความต้องการ ซึ่งในอนาคตอาจเป็นยุคของ “paperless paper” โดยมีการใช้แผ่นพลาสติกบางที่สามารถปรากฏข้อมูลได้ มีการจัดเก็บโดยใช้ Digital Storage, e-paper จะถูกพัฒนาโดยบริษัท Xerox (http://wwwparc.xerox.com/epaper) จะเกิดการสื่อสารแบบไร้สายมากขึ้น มีการนำระบบ Digital เข้ามาใช้ในระบบโทรคมนาคม
Universal systems for “managing knowledge” ระบบข้อมูลและเครื่องมือจะถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างหลากหลายโดย Intelligent agent เพื่อให้ความรู้ในเรื่องโลกธุรกิจ ความรู้ในเรื่องการจัดการการพัฒนาระบบเพื่อให้มีข้อมูลที่มากมาย แก่นของความรู้จะทำให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ด้วยตนเองและการมีส่วนร่วมในทางที่จะก่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด ผู้คนและองค์กรจะเกิดความต้องการในการสื่อสาร การร่วมมือกัน และการค้ากับผู้อื่นในสภาวะแวดล้อมที่เปิดกว้าง
Virtual reality and virtual presencing การใช้ภาพ 3 มิติในการนำเสนอ ความเป็นไปได้กับเทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น การใช้เลเซอร์ยิงให้เกิดภาพ 3 มิติ (laser holographic projections) ซึ่งได้มีการศึกษาและพัฒนาคล้ายกันนี้ที่ MIT’s Media Lab (http://www.medialmit.edu/).
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2543) ได้แนวโน้มของการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเสมือนจริง จะมีการนำเอาเทคโนโลยี สารสนเทศใหม่ ๆ เข้ามาใช้มากขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อลดภาระงานและขั้นตอนที่ซับซ้อนของการนำเสนอเนื้อหากระบวนวิชาออนไลน์ การจัดการและบริหารกระบวนวิชาออนไลน์ และสนับสนุนระบบที่ผู้เรียนสามารถควบคุมจังหวะการเรียนของตนเองได้ ซึ่งทิศทางแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในระบบการเรียนการสอนในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ มีดังนี้
1. การใช้เทคโนโลยีเครือข่ายชนิดแบนด์วิธสูง เป็นการประโยชน์จากความสามารถในการส่งข้อมูลผ่าน
เทคโนโลยีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ช่วยให้สามารถนำเสนอข้อมูลชนิดหลายสื่อที่โต้ตอบกันได้ ระหว่างผู้เรียนผู้สอน ณ เวลาจริง และส่งผ่านข้อมูลได้ทีละมาก ๆ เช่น การถ่ายทอดการบรรยายในระบบวิดีทัศน์ที่โต้ตอบกันได้ ณ เวลาจริง (Interactive Video) พร้อมการนำเสนอภาพกราฟิกหรือสื่อการสอนชนิดอื่นได้ และผู้เรียนสามารถถามคำถามหรือสนทนากับผู้สอนได้ ผ่านทางระบบเสียง หรือ ตัวอักษรได้พร้อมกับการบรรยาย
2.
2. การจักการองค์ความรู้ในรูปแบบของโมดูล เป็นการจัดการองค์ความรู้ต่าง ๆ โดยใช้แนวความคิดที่ว่าองค์ความรู้ต่าง ๆ สามารถถูกจัดเก็บไว้ในรูปแบบของระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ และสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทันที
3. ระบบการจัดการกระบวนวิชาอันชาญฉลาด เป็นการนำเอาแนวคิดของการใช้ผู้ช่วยเหลืออันชาญฉลาด (Intelligent Agents /System) ซึ่งเป็นแนวความคิดที่แตกแขนงออกมาจากกลุ่มแนวความคิดด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เพื่อเป็นคล้ายกับผู้ช่วยเหลือทั้งผู้เรียนและผู้สอน เช่น เป็นผู้ช่วยเหลืออัตโนมัติ (Automated Tutoring Tracking System) เป็นผู้ช่วยสอนในการเก็บข้อมูลความคืบหน้า
ของผู้เรียนแต่ละบุคคลโดยอัตโนมัติ (Automated Student Tracking System) หรือเป็นระบบที่สามารถปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในการเรียนให้เข้ากับความต้องการเรียนของแต่ละบุคคลโดยอัตโนมัติ (Customization)
            สำหรับแนวโน้มของการเรียนการสอนแบบมหาวิทยาลัยเสมือนจริงในประเทศไทยนั้น ได้มีการจัดประชุมระดมสมองเรื่อง “Virtual Education Workshop” จัดโดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ร่วมกันสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ซึ่งผลจากการประชุมพบว่า ประเทศไทยจะมีการจัดสมาคม (Consortium) ด้านการศึกษาแบบเสมือนขึ้น เนื่องจากแต่ละองค์กรหรือสถาบันเองต่างก็มีข้อจำกัดในด้านต่าง ๆ กัน ซึ่งหากมีสมาคมทางด้านนี้โดยตรง จะทำให้เกิดความร่วมมือและแบ่งปันทรัพยากรและความรู้ซึ่งแต่ละองค์กรมีอยู่ไม่เหมือนกันมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
            จากการศึกษาค้นคว้าแนวโน้มของ Virtual University ดังปรากฏข้างต้น สรุปได้ว่า
            แนวโน้มของ Virtual University นั้นเป็นสิ่งที่ยากที่จะทำนายได้ว่าในอนาคตนั้นจะเป็นไปอย่างไรแต่สิ่งที่น่าจะคาดเดาได้นั่นคือ จะมีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาประยุกต์ใช้ในวงการการศึกษามากขึ้นและมีความหลากหลาย โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทางด้านเครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์การสื่อสารและโทรคมนาคม องค์กร เพื่อให้ผู้เรียนซึ่งไม่จำกัดเพศ อายุ การศึกษา ได้มีโอกาสในการเข้ารับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และตลอดชีวิต และสามารถกำหนดเวลาเรียน วิชาที่ต้องการเรียนได้ตามความต้องการของตน โดยไม่จำกัดสถานที่ เพื่อพัฒนาตนเองให้มีทักษะ และความรู้ในการทำงาน หรือแม้แต่ผู้ที่ทำงานแล้วก็จะสามารถเรียนรู้ได้ผ่านองค์กร บริษัทของตน ที่มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาและต้องการพัฒนาบุคลากรในองค์กร บริษัท ให้มีความรู้ความสามารถในการทำงาน โดยการเรียนรู้ผ่านเว็บของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในด้านการศึกษาได้พัฒนาความรู้ ความสามารถของตนเอง สามารถบริหารและจัดการเรียนการสอน การให้บริการและคำปรึกษา และช่วยเหลือผู้เรียนที่ประสบปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
            นอกจากนี้ ข้อกำหนดในกฎหมายพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ซึ่งจะมีผลถึงแนวโน้มความต้องการ ศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา ได้กำหนดให้รัฐต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิ และมีความเสมอภาคกันใน การรับการศึกษาภาคบังคับ 9 ปี และการศึกษาขั้นพื้นฐานศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย 12 ปี จะมีผลทำให้ความต้องการศึกษาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ต้องมีการพิจารณาถึงรูปแบบ และแนวทางในการตอบสนองที่เพิ่มขึ้น


บรรณานุกรม
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) .. 2545.2546.กรุงเทพฯ :
            กระทรวงศึกษาธิการ.
วิริยะ วงศ์เลาหกุล. 2543. การพัฒนาแบบจำลองระบบมหาวิทยาลัยเสมือนจริง. วิทยานิพนธ์การศึกษา
            ดุษฎีบันทิต สาขาวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโวฒ.
ยงยศ พรตปกรณ์. 2544. “รูปแบบใหม่สถาบันอุดมศึกษา : มหาวิทยาลัยเสมือน. ใน พันธ์ศักดิ์ พลสารัมย์.
            การพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา : รวมบทความทางวิชาการ. กรุงเทพฯ : ภาควิชาอุดมศึกษา
            คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี. 2543. รายงานการวิจัยมหาวิทยาลัย
            โทรสนเทศ (Virtual University) ของประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สกศ.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2544. รายงานการประชุมเรื่อง Virtual Education Forum. [online]
            Available from: http://www.stou.ac.th/thai/vu/index.asp [25 สิงหาคม 2546]
เอกสารประกอบการประชุมเรื่อง “Virtual Education Workshop” 2542. วันที่ 3 ธันวาคม 2542 ณ โรงแรม
            เซ็นจูรี่ ปาร์ค กรุงเทพฯ.(เอกสารไม่ตีพิมพ์)
Rada. R.2001. Understanding Virtual Universities.Oregon:Intellect Books.
Steve R.,et al.2000. The Virtual University: The Internet and Resource-Based Learning
            London: Kogan Page Limited.














แนวโน้มของ Web-based Instruction
            Web-based Instruction คือ การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตมาออกแบบและจัดระบบการเรียนการสอน สนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้ทุกที่ทุกเวลา
            เราสามารถมองแนวโน้มของ Web-based Instruction ออกเป็นหลาย ๆ ด้านดังนี้
1.      เป้าหมายของ Web-based Instruction แบ่งออกเป็น 2 คุณลักษณะคือ
1.1  คุณลักษณะหลัก (Key Features) เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของโปรแกรมการเรียนการสอนผ่าน
เว็บทุกโปรแกรมผู้เรียนสามารถเข้าเรียนตามที่ตนเองต้องการและผู้เรียนยังสามารถสืบค้นข้อมูลได้ทั่วโลก
1.2  คุณลักษณะเพิ่มเติม (Addition Features) เป็นคุณลักษณะประกอบเพิ่มเติมซึ่งขึ้นอยู่กับคุณ
ภาพและความยากง่ายของการออกแบบเพื่อนำมาใช้งานและการนำมาประกอบกับคุณลักษณะหลักของโปรแกรมการเรียนการสอนผ่านเว็บ
Web-based Instruction ยังเป็นการศึกษาที่จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมการศึกษาตลอดชีวิต สามารถเรียน
ได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่งตอบสนองตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาผู้เรียนที่อยู่ห่างไกลก็สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับผู้สอนและผู้เรียนคนอื่น ๆ ได้อีกด้วย
2.      บทบาทของ Web-based Instruction จะไม่เพียงแต่ขยายโอกาสทางการศึกษาเท่านั้นแต่จะมี บท
บาทในการเพิ่มโอกาสให้บุคคลได้พัฒนาความรู้และประสบการณ์กว้างขวางขึ้นอีก จะช่วยส่งเสริมทั้งการศึกษาในระบบโรงเรียนและการศึกษานอกระบบ อีกทั้งยังมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการศึกษาทางไกล จากงานวิจัยเรื่อง แนวโน้มเทคโนโลยีด้านการศึกษาทางไกลของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในปีพ.. 2552 (สถาพร จัทรเรนทร์,2542) จะนำการ Chat เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ในกรเรียนทางไกล เพื่อให้ผู้เรียนสามารถสอบถามเรื่องที่ไม่เข้าใจได้ในทันที
3.      กลุ่มเป้าหมายของ Web-based Instruction ในปัจจุบันยังเป็นกลุ่มเป้าหมายในระดับนิสิตนัก
ศึกษามหาวิทยาลัยเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ได้มีการพัฒนารูปแบบหลาย ๆ ด้านของ Web-based Instruction เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกกลุ่มทุกเพศทุกวัย โดยมีการเริ่มพัฒนาเป็นอินเตอร์เน็ต ตำบล และหมู่บ้านเพิ่มขึ้นทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเป็นได้ทุกกลุ่ม
4.      การยอมรับ Web-based Instruction ของครูและอาจารย์ในสถาบันการศึกษา ต้องยอมรับว่า
ปัจจุบัน Web-based Instruction ยังเป็นนวัตกรรมทางการเรียนการสอนอยู่แต่ในอนาคตเมื่อมีพัฒนาการของ E-learning และการเรียนทางไกลมากขึ้น การเรียนการสอนผ่านเว็บก็จะเข้าไปมีบทบาททางการศึกษามากขึ้นทำให้ครูและอาจารย์ผู้สอนจะมีวิสัยทัศน์ในการยอมรับการเรียนการ สอน
5.      เนื้อหาและกิจกรรมของ Web-based Instruction จะเป็นการเรียนการสอนแบบติดต่อสื่อสาร 2
ทางมากขึ้น และเนื้อหากิจกรรมจะมุ่งสร้างผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยจะมีรูปแบบการเรียนการสอนผ่านเว็บหลัก ๆ อยู่ 4 รูปแบบคือ
5.1  รูปแบบการเผยแพร่ (Publishing Model)
5.2  รูปแบบการสื่อสาร (Communication Model)
5.3  รูปแบบผสมผสาน (Hybrid Model)
5.4  ห้องเรียนเสมือนจริง (Virtual Classroom Model)
ทั้ง 4 รูปแบบนี้จะมุ่งให้ความรู้ประสบการณ์แก่ผู้เรียนเพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้ผู้เรียน
สามารถสร้างประสบการณ์จากการเรียนและสามารถนำไปใช้ได้จริง และถ้าอาจารย์และครูให้ยอมรับการเรียนการสอนผ่านเว็บ การพัฒนาเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเว็บจะพัฒนามากยิ่งขึ้นโดยมีการเพิ่มปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน และผู้เรียนกับผู้เรียนอื่น ๆ การเรียนการสอนผ่านเว็บการเรียนแบบไม่พบปะ หรือเจอผู้สอนหรือผู้เรียนคนอื่น ๆ โดยแนวโน้มของการออกแบบ WBI จะต้องมีการออกแบบให้ผู้เรียนมีการเรียนแบบร่วมมือโดยการออกแบบการเรียนการสอนจะมี 2 ลักษณะใหญ่ ๆ ด้วยกันคือ
1.      Synchronous
เป็นการเรียนการสอนที่มีการนัดเวลา นัดสถานที่ นัดตัวบุคคลเพื่อให้เกิดการเรียนการสอน มี
การกำหนดตารางเวลา หรือตารางสอน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในเรื่องการเรียนการสอน ตั้งแต่การนำเสนอบทเรียนของอาจารย์ไปจนถึงการสอนของอาจารย์อาจจะใช้ VDO Conference
2.      Asynchronous
เป็นรูปแบบการรับส่งข้อมูลข่าวสารที่ผู้รับและผู้ส่งไม่จำเป็นต้องทำงานพร้อมกัน เครื่องมือที่
ช่วยในการติดต่อสื่อสาร คือ E-mail การใช้กลุ่มสนทนา (Newsgroup) หรือห้องสนทนา (Chat) จนไปถึง Web Board ซึ่งแนวโน้มของ WBI นั้นที่เป็นการเรียนแบบร่วมมือก็จะมุ่งไปที่การเรียนในรูปแบบของ Synchronous และ Asynchronous เพราะเป็นการเรียนการสอนที่ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา ซึ่งผู้เรียนจะสามารถเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ซึ่งเป็นการเรียนแบบตามอัธยาศัย (On Demand) จึงต้องมีการนำเอาความรู้และเทคโนโลยีทางด้านสาระสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการสอน รูปแบบ Asynchronous ในทุกด้าน โดยการใช้ทั้ง E-mail, Web Board,
Chat, ICQ, Conference และ Electronic Home Work และยังรวมไปถึงเทคโนโลยีอื่นที่จะติดตามออกมา โดยการสื่อสารแต่ละประเภทมีข้อดี และลักษณะพิเศษดังนี้
·       Email
ความหมาย
ลักษณะการใช้งานใน WBI
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างเฉพาะ ผู้ที่เป็นสมาชิกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ผู้อื่นจะไม่สามารถอ่านได้ (Two Way)
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์ หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกัน ใช้ส่งการบ้านหรืองานที่ได้รับมอบหมาย
·       Web board
ความหมาย
ลักษณะการใช้งานใน WBI
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way)
ใช้กำหนดประเด็นหรือกระทู้ ตามที่อาจารย์กำหนด หรือตามแต่นักเรียนจะกำหนด เพื่อช่วยกันอภิปรายตอบประเด็น หรือกระทู้นั้นทั้งอาจารย์และผู้เรียน
·       Chat
ความหมาย
ลักษณะการใช้งานใน WBI
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) โดยการสนทนาแบบ Real Time มีทั้ง Text Chat และ Voice Chat
ใช้สนทนาระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนหรือชั่วโมงเรียนนั้น ๆ เสมือนว่ากำลังคุยกันอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ
·       ICQ
ความหมาย
ลักษณะการใช้งานใน WBI
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) โดยการสนทนาแบบ Real Time และ Past Time
ใช้สนทนา ระหว่างผู้เรียนและอาจารย์ในห้องเรียนเสมือนว่ากำลังคุยกันอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ โดยที่ผู้เรียนไม่จำเป็นต้องอยู่ในเวลานั้น ๆ ICQ จะเก็บข้อความไว้ให้ และยังทราบด้วยว่า ในขณะนั้นผู้เรียนอยู่หน้าเครื่องหรือไม่
·       Conference
ความหมาย
ลักษณะการใช้งานในWBI
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียน (Three Way) แบบ Real Time โดยที่ผู้เรียนและอาจารย์ สามารถเห็นหน้ากันได้โดยผ่านทางกล้องโทรทัศน์ที่ติดอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งสอนฝ่าย
ใช้บรรยายให้ผู้เรียนกับที่อยู่หน้าเครื่องเสมือนว่ากำลังนั่งเรียน อยู่ในห้องเรียนจริง ๆ


·       Electronic Home Work
ความหมาย
ลักษณะการใช้งานในWBI
ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่าง ผู้เรียน อาจารย์ เป็นเสมือนสมุดประจำตัวนักเรียน โดยที่นักเรียนไม่ต้องถือสมุดการบ้านจริง ๆ เป็นสมุดการบ้านที่ติดตัวตลอดเวลา
ใช้ส่งงานตามที่อาจารย์กำหนดเช่นให้เขียนรายงานโดยที่อาจารย์สามารถเปิดดู Electronic Home Work ของนักเรียนและเขียนบันทึกเพื่อตรวจงานและให้คะแนนได้ แต่นักเรียนด้วยกันจะเปิดดูไม่ได้

จะเห็นได้ว่าต่อไปในอนาคต ในตัวของ WBI จะมีการใช้เทคโนโลยีทางการสื่อสารของอินเตอร์เน็ตเข้ามาอยู่ในตัว WBI ทั้งหมดทั้งการสื่อสารแบบบุคคลต่อบุคคล (Person to Person) ผู้เรียนกับกลุ่ม (Person to Group) และแบบกลุ่มต่อกลุ่ม ( Group to Group)
6.      การให้การสนับสนุนจากรัฐบาล จากแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 ที่ต้องการ
ให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต การเรียนได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา และลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา จากแนวพระราชบัญญัตินี้จะทำให้รัฐบาลมีการสนับสนุน Web-based Instruction การเรียนการสอนผ่านเว็บอย่างแน่นอน เพราะรัฐบาลต้องการพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น เรียนตามอัธยาศัย ซึ่งการเรียนประเภทนี้นอกจากที่ผู้เรียนจะสามารถเลือกเรียนในช่วงเวลาใดได้แล้ว แต่ผู้เรียนยังเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ (Learner Centered) เพราะฉะนั้นการออกแบบ WBI จะต้องให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ให้มากที่สุด
7.      การเรียนรู้ที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางแห่งการเรียนรู้ (Learner Centered) จะมีการออกแบบเพื่อให้เกิด
การเรียนรู้ 2 ลักษณะคือ Objectivist และ Constructivist
Objectivist เป็นรูปแบบการสอนที่กำหนดเป้าหมายประสงค์หลักในการเรียนและกำหนดวัตถุ
ประสงค์ย่อยที่จำเป็นในการบรรลุวัตถุประสงค์หลักและพัฒนาเกณฑ์การตัดสินตามวัตถุประสงค์นั้น ๆ การเรียนจะมีรูปแบบขั้นตอนชัดเจนให้ผู้เรียน เมื่อผ่านการเรียนแล้วผู้เรียนรู้จะได้รับผลการเรียนอะไรบ้าง การประเมินจึงเป็นลักษณะเปรียบเทียบผลในวัตถุประสงค์ย่อยและเป้าหมายประสงค์หลัก
Constructivist เป็นการเรียนการสอนอีกลักษณะหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางและการเรียน
การสอนมุ่งเน้นกระบวนการเรียนรู้ที่ต่อเติมจากความรู้และประสบการณ์ที่มีมาก่อนของผู้เรียนซึ่งแตกต่างกัน และเน้นบทบาทของแรงจูงใจจากภายในของผู้เรียน ผู้เรียนมีทักษะในการตรวจสอบและควบคุมการเรียนของตนเอง ผลสัมฤทธิ์ของการเรียนจะอยู่ที่รายบุคคลซึ่งไม่สามารถใช้เพียงเกณฑ์วัดในเชิงปริมาณ
8.      การออกแบบ และพัฒนาการเรียนการสอนผ่านเว็บเพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอน นอกจากจะ
ต้องคำนึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนแล้ว รูปแบบของการเรียนการสอนผ่านเว็บที่เหมาะสมสำหรับผู้เรียนก็มีความเห็นที่แตกต่างกันระหว่างการออกแบบเว็บไซด์และลักษณะเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมี โดยเฉพาะรูปแบบของเว็บเพจ ซึ่งเป็นลักษณะของหน้าจอภาพ จะมีอยู่ 2 รูปแบบคือ
1.      เว็บไซต์แบบยาว มีลักษณะหน้าจอเป็นแถบเลื่อน (Long, Scrolled pages) นั่นคือเว็บเพจจะมี
ลักษณะหน้าเดียว ยาวจากด้านบนลงล่าง และสามารถเลื่อนจากบนลงล่างหรือเลื่อนจากด้านล่างขึ้นบนได้ด้วย (Scroll Bar) ด้านขวามือของจอภาพ
2.      เว็บแบบสั้น มีลักษณะหน้าจอเป็นหน้าจอเดียวลิงค์ (Shorter, Linked pages) นั่นคือเว็บเพจมี
ลักษณะหน้าเดียว แต่จำกัดเฉพาะหน้าจอภาพของคอมพิวเตอร์เท่านั้นไม่สามารถเลื่อนลงด้านลบนด้านล่างได้
นักการศึกษาเห็นว่าการออกแบบเว็บควรมีพื้นที่หลายเว็บ มากกว่าที่จะเรียนลำดับเนื้อหาอยู่ด้วยกันเพียงหนึ่งหน้า ซึ่งจะต้องเลื่อนลงหรือเลื่อนขึ้นอยู่ตลอดเวลา โดยเนื้อหาควรมีหน้าจอเดียวเรียงหน้าตามลำดับ (Series pages) โดยแต่ละหน้าควรมีขนาดที่ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้ โดยที่ข้อมูลมิได้มีความลึกจนเกินไป ควรมีเพียงหน้าเดียว (Controll Eisenberg, 1997 อ้างถึงใน ปรัชญนันท์ นิลสุข) ถ้าจะให้โครงสร้างของเว็บมีความเหมาะสมแน่นอน การแสดงข้อมูลในแต่ละหน้าของเว็บจะมีประสิทธิภาพ ถ้ามีการเรียนลำดับของเนื้อหาให้แต่ละหน้าสั้น ๆ (Young and Watkins, 1997 อ้างถึงใน ปรัชญนันท์ นิลสุข) ความยาวในแต่ละหน้าควรเท่ากับหน้าจอ ข้อมูลสำคัญมีมากเกินกว่าหนี่งหน้าจอภาพก็ให้ไปอยู่ในหน้าต่อไปของอีกเว็บเพจหนึ่ง การออกแบบหน้าจอก็ควรจะเน้นข้อมูลที่สำคัญเท่านั้น (Stover and Zinda, 1996 อ้างถึงใน ปรัชญนันท์ นิลสุข) การออกแบบลักษณะนี้มีพื้นฐานมาจากการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งเนื้อหาแต่ละหน้าจอเรียงตามลำดับ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนต่าง ๆ ภายในโปรแกรมที่สร้างขึ้นได้

แนวโน้มการใช้งาน Web-Based Instruction
            ในสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการนำระบบอินเทอร์เน็ตมาใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เช่น การนำมาใช้ในการเรียนทางไกล การใช้เป็นการเรียนเสริมหรือการศึกษาเพิ่มเติม ซึ่งจากกรอบนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศระยะ พ.. 2544-2553 ประเทศไทย ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา (E-education) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาให้มีความรู้และทักษะด้านเทคโนโลยี โดยมุ่งแน้นการสร้างระบบการบริหารจัดการทรัพยากรศึกษาที่มีประสิทธิภาพเอื้อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสได้เข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสารสนเทศ เนื้อหา และความรู้ สถาบันการศึกษาจึงต้องจัดโอกาสและสภาพแวดล้อมให้ผู้เรียนได้พัฒนาไปตามแนวทางตามความถนัดของตน ส่งเสริมสมรรถภาพให้ผู้เรียนมีความรู้ความคิดและทักษะใหม่เพิ่มมากขึ้นจัดการเรียนการสอนให้หลากหลายรูปแบบเพื่อตอบสนองวิธีเรียนของผู้เรียนที่แตกต่าง
            ดังนั้นเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) จึงเป็นเครื่องมือที่มีพลานุภาพสูงในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดการศึกษา และส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้งในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย โดยการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยการเรียนการสอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันแหล่งความรู้ถูกจำกัด ทั้งที่แหล่งความรู้มีมากมาย การจัดการเรียนการสอนในปัจจุบันถูกจำกัดเฉพาะในห้องเรียนและอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของผู้สอนเท่านั้น ทั้งที่ผู้เรียนแต่ละคนมีความแตกต่างระหว่างบุคคลมีความรู้ความเข้าใจประสบการณ์และการมองโลกแตกต่างกันออกไป รวมถึงรูปแบบการจัดชั้นเรียนในปัจจุบันไม่สามารถที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ ดังนั้นการเตรียมคนเพื่อให้เข้าไปรองรับกับระบบงานใหม่ในอนาคต เทคโนโลยีจึงเป็นพื้นฐานสำคัญ การเรียนการสอนไม่ควรยึดติดกับวิธีเดิม ในขณะที่สิ่งใหม่หรือสิ่งที่กำลังพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็ว แหล่งความรู้ไม่ได้อยู่ที่สถานศึกษาอย่างเดียว
            การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ (Web Based Instruction-WBI) จึงตอบสนองการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเป็นการจัดสภาพแวดล้อมการเรียนการสอนที่ประยุกต์คุณลักษณะของอินเทอร์เน็ต โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ในเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) มาเป็นสื่อกลางเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ในรูแปบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งข้อมูลอ้างอิง เอกสารประกอบการเรียนบทเรียนสำเร็จรูป หรือแม้กระทั่งหลักสูตรวิชา เนื่องจาก เวิลด์ไวด์เว็บเป็นบริการบนอินเทอร์เน็ตที่มีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและหลายรูปแบบ ทั้งตัวอักษร ภาพนิ่ง การเคลื่อนไหวหรือเสียง โดยอาศัยคุณลักษณะของการเชื่อมโยงหลายมิติ (Hyperlink) ทั้งในรูปแบบของข้อความหลายมิติ (Hypertext) หรือสื่อหลายมิติ (Hypermedia) เพื่อเชื่อมโยงแหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องไว้ด้วยกัน และเป็นการนำประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการค้นคว้าข้อมูลในการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการสนองตอบแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นหลัก นั่นคือมิใช่การสอนที่เป็นการถ่ายทอดความรู้จากครูผู้สอนเพียงฝ่ายเดียว แต่เป็นการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายและเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ โดยใช้เทคโนโลยีและสารสนเทศต่าง ๆ ให้เป็นประโยชน์ ซึ่งสื่อต่าง ๆ เหล่านี้สามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถเรียนรุ้และแก้ปัญหาได้อย่างอิสระ เพราะข้อมูลบนเว็บมีลักษณะเป็นพลวัตร (Dynamic) ทำให้เนื้อหาการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าแบบเดิม และเปลี่ยนแปลงไปตามความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญและเปิดโอกาสให้ผู้สอนสามารถปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้ทันสมัยได้อย่างสะดวกสบาย
























บรรณานุกรม

กิดานันท์ มลิทอง. เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ :
            ห้างหุ้นส่วนจำกัดอรุณการพิมพ์, 2543
ใจทิพย์ ณ สงขลา. การสอนผ่านเครือข่ายเวิลด์ ไวด์ เว็บ,ครุศาสตร์. 27(3) : 18-28 ;
            มี..-มิ.. 2542.

ฉลองชัย สุรวัฒนบูรณ์. เทคโนโลยีการศึกษา. เอกสารโรเนียว. กรุงเทพฯ :
            มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มปป.

ถนอมพร ตันพิพัฒน์. อินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา, ครุศาสตร์. 1-11 ; ..-.. 2539.

ประหยัด จิระวรพงศ์. หลักการและทฤษฎี เทคโนโลยีทางการศึกษา. กรุงเทพฯ :
            โรงพิมพ์อมรการพิมพ์, มปป.

ปทีป เมธาคุณวุฒิ. การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ :
            สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2544.

เลขานุการคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ, สำนักงาน. กรอบนโยบายเทคโนโลยี
            สารสนเทศ ระยะ พ.. 2544-2553 ของประเทศไทย. กรุงเทพฯ :
            บริษัทธนาเพรส แอนด์ กราฟฟิก จำกัด, 2545.
วิชุกา รัตนเพียร. การเรียนการสอนผ่านเว็บ : ทางเลือกใหม่ของเทคโนโลยีการศึกษาไทย
            ครุศาสตร์. 27 (3) : 29-35 ; มี..-มิ.. 2524

เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์. เทคโนโลยีการศึกษา : หลักการและแนวคิดสู่ปฏิบัติ. สงขลา :
            การผลิตเอกสารและตำรา มหาวิทยาลัยทักษิณ,2545.





แนวโน้มของการฝึกอบรมผ่านเว็บ (Web-Based Training)

            อินเทอร์เน็ตกับการฝึกอบรมเป็นความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงที่มีบทบาทอย่างยิ่งต่อรูปแบบการเรียนรู้ในสังคมยุคใหม่ ซึ่งเป็นยุคที่เป็นโลกของดิจิตอลที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ทุกหน่วยงานต้องการคนที่มีความรู้ ความสามารถ ที่สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ได้รับให้เป็นความรู้ที่เอื้อประโยชน์ต่อหน่วยงานและสังคมได้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ย่อมมีผลอย่างยิ่งต่อการจัดการศึกษาที่จะต้องผลิตบุคคลให้มีการใฝ่รู้ ใฝ่เรียน และสามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องอยู่ตลอด เวลาเพื่อให้อยู่ในสังคมโลกได้อย่างมีความสุข ปรับตัวได้ทันต่อสภาวการณ์รอบตัวได้ รวมทั้งสามารถพัฒนาหน่วยงาน และสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งในปัจจุบันได้มีการจัดการฝึกอบรมในรูปแบบต่าง ๆ มากขึ้นโดยเฉพาะในเรื่องของการฝึกอบรมผ่านเว็บ ซึ่งแนวโน้มจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
            การฝึกอบรมผ่านเว็บ เป็นการฝึกอบรมกิจกรรม องค์ความรู้ และวิชาการต่าง ๆ ตามจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนผ่านทางเวิล์ดไวด์เว็บ ซึ่งผู้เรียนเป็นผู้กำหนด และเลือกการเรียนด้วยตนเองโดยมีวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ชี้แนะ ให้คำปรึกษา สนับสนุน อำนวยความสะดวก ทางด้านแหล่งข้อมูล วิธีการศึกษา และประเด็นในการเรียนรู้ ด้วยการใช้องค์ประกอบและคุณลักษณะและทรัพยากรบนเว็บมาช่วยในการเรียนรู้

รูปแบบของเว็บเพื่อการฝึกอบรม
            การใช้เว็บในการฝึกอบรมก็ต้องคำนึงถึงคุณลักษณะของเว็บเป็นสำคัญเมื่อการอบรมนั้นไม่จำเป็นต้องเดินทางไปอบรมในห้องฝึกอบรม แต่เป็นการฝึกอบรมโดยการสื่อสารทางไกล จะทำอย่างไรให้การฝึกอบรมผ่านเว็บมีคุณภาพและประสิทธิภาพเท่าเทียม หรือดีกว่าการฝึกอบรมในห้องฝึกอบรมอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต ปรัชญนันท์ นิลสุข (2542) ได้กำหนดกรอบคิดหลักของการฝึกอบรมผ่านเว็บ (WBT) ดังรูปที่ 1 ซึ่งจะต้องคำนึงถึงแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะคือ
1. การฝึกอบรมผ่านเว็บ ในด้านการให้การศึกษา นั่นคือ การฝึกอบรมผ่านเว็บ จะอยู่ในกรอบ 3 ประการคือ
   1.1 เวิล์ด ไวด์ เว็บ (World Wild Web) การฝึกอบรมผ่านเว็บเป็นส่วนหนึ่งของระบบอินเทอร์เน็ตจึงต้องอยู่ในกรอบของเวิล์ด ไวด์ เว็บ
   1.2 การศึกษาทางไกล (Distance Education) การฝึกอบรมบนเว็บเป็นการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอร์ในการจัดการศึกษาทางไกล ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนหนึ่งในกรอบของการศึกษาทางไกล
   1.3 การพัฒนาระบบการสอน (Instructional System Development) การฝึกอบรมบนเว็บอยู่ในกรอบของ WWW เมื่อเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาทางไกล การฝึกอบรมก็ต้องมีการออกแบบและพัฒนาระบบเพื่อให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพจึงต้องอยู่ในกรอบของการพัฒนาระบบการสอน
2. การฝึกอบรมผ่านเว็บในด้านการพัฒนาคน นั่นหมายความว่า การฝึกอบรมผ่านเว็บก็จะอยู่ในกรอบ 3 ประการเช่นกัน คือ
                2.1 เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) การฝึกอบรมเพื่อพัฒนาคนโดยเว็บเป็นการพัฒนาในยุคสังคมสารสนเทศ ซึ่งภายในเว็บซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เป็นฐานข้อมูลใหญ่ที่สุดในโลก การฝึกอบรมผ่านเว็บจึงเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในสังคมสารสนเทศโดยมี WWW เป็นเครื่องมือจึงอยู่ในขอบเขตเดียวกัน
                2.2 การศึกษาตามอัธยาศัย (Informal Education) เป็นการฝึกอบรมที่มุ่งให้ผู้อบรมได้เรียนรู้ตามความสนใจในสภาพของเครือข่ายการเรียนรู้ในทุกที่ทุกเวลา ซึ่งอยู่ในการศึกษาในแบบทางไกลจึงอยู่ในขอบเขตเดียวกัน
                2.3 การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Development) เนื่องจากการฝึกอบรมเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ที่เน้น 3 ด้าน คือ การฝึกอบรม การศึกษาและการพัฒนา จึงจัดกรอบนี้ในกลุ่มเดียวกับการพัฒนาระบบการสอนซึ่งไม่อาจแยกจากกันได้


การพัฒนาระบบการสอน
การศึกษาทางไกล
            การศึกษา                                               WWW


WBI
            การพัฒนามนุษย์                                          IT
การศึกษาตามอัธยาศัย
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์

รูปที่ 1 แบบจำลองแนวคิดการฝึกอบรมผ่านเว็บ (Model of Web-Based Training)

            ดิสโคล (Driscoll, 1997) ได้ศึกษาการนำเว็บมาใช้ในการฝึกอบรม มี 2 รายการ คือ แบบที่เป็นตัวหนังสืออย่างเดียว และแบบมัลติมีเดีย ผลการศึกษาการออกแบบการฝึกอบรมเวิล์ด ไวด์ เว็บ พบว่าแบบตัวหนังสืออย่างเดียว มีเครื่องมือ ได้แก่ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) กระดานข่าว (Bulletin Boards) การถ่ายโอนโปรแกรม และแบบมัลติมีเดีย มี 4 ชนิด คือ การฝึกอบรมผ่านเว็บ (Web Computer Based Training : WBT) การฝึกอบรมในหน่วยงาน (Web Based Employee Performance Support : EPSS) การฝึกอบรมในห้องอบรมที่เหมือนจริงอบรมต่างเวลากัน (Asynchronous Virtual
Classroom) และการอบรมในห้องอบรมที่เหมือนจริงอบรมในเวลาเดียวกัน (Synchronous Virtual Classroom) โดยมีตารางความแตกต่างของการออกแบบในรูปของมัลติมีเดีย 4 ชนิด ดังนี้


ตารางที่ 1 การออกแบบรูปแบบการฝึกอบรมตามแนวคิดของดิสโคล

คุณลักษณะ
(Characteristic)
การฝึกอบรมผ่านเว็บ
(Web Computer-Based training : WBT)
การฝึกอบรมในหน่วยงาน (Web-Based Employee Performance Support : EPSS)
การฝึกอบรมในห้องอบรมที่เหมือนจริงต่างเวลากัน (Asynchronous Virtual Classroom)
การฝึกอบรมในห้องอบรมที่เหมือนจริงเวลาเดียวกัน (Synchronous Virtual Classroom)
เป้าหมาย
จัดหาเป้าหมายและวัตถุประสงค์ สอดคล้องกับความสามารถของผู้เรียน
จัดหาการฝึกปฏิบัติและทักษะการแก้ปัญหาในเวลาที่กำหนด
จัดหากลุ่มการเรียนรู้ต่างเวลาต่างสถานที่
จัดหาการร่วมมือในเวลาเรียนเดียวกันต่างสถานที่

ชนิดของการเรียนรู้
มีโครงสร้างการแก้ปัญหาการถ่ายโอน การเรียนรู้สร้างความเข้าใจ การประยุกต์ใช้
มีโครงสร้างการแก้ปัญหา การวิเคราะห์ สังเคราะห์ สัมพันธ์ภาพการจัดการ เครื่องมือต่าง ๆ
มีโครงสร้างการแก้ปัญหานำมาประยุกต์การแก้ปัญหา การวิเคราะห์ สังเคราะห์ การประเมินผลผลิตจากความคิดใหม่ ๆ ที่รวบรวมได้ มีการวางแผนและผลผลิต
มีโครงสร้างปัญหาการวิเคราะห์ความต้องการการประเมินผลข้อมูลมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แนวคิดใหม่ การวางแผนและผลผลิต
บทบาทของผู้ออกแบบการอบรม
ผู้จัดการอบรม,ผู้ควบคุม,ทำนาย,บอกทิศทาง,ติดต่อผู้เข้ารับการอบรม,แนะนำ
ผู้จัดการด้านเนื้อหาวิเคราะห็,ย่อความ,จัดรายการ,จำแนกข้อมูลลงสู่การเรียนรู้แบบบทเรียน
อำนวยความสะดวกในกลุ่มการเรียนรู้,แนะนำการเรียน,จัดหาทรัพยากร,การประเมินผล,การติดต่อกับผู้เรียน
ร่วมมือกันเรียนรู้ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน,มีการเรียนรู้ร่วมกัน,เสนอแนะทิศทางการเรียน แต่ไม่กำหนดทิศทางและประเมินผลลัพธ์
บทบาทผู้เข้ารับการอบรม
ผู้เข้ารับการอบรมมีความกระตือรือร้นในการฝึกอบรมใหม่ ๆ การติดต่อผู้สอน
ผู้เข้ารับการอบรมเรียนรู้ด้วยตนเองโดยตรงกำหนดระดับของรายละเอียด เนื้อหา มุ่งสู่เป้าหมายการเรียนและผลลัพธ์
ผู้สอนให้คำแนะนำเป็นส่วนตัวหรือเป็นกลุ่มมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมและได้รับการป้อนกลับข้อมูล
ผู้เข้ารับการอบรมได้รับการร่วมมือในการเรียนตามขั้นตอน กับผู้สอนและเพื่อน ๆ มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบกาารณ์

คุณลักษณะ
(Characteristic)
การฝึกอบรมผ่านเว็บ
(Web Computer-Based training : WBT)
การฝึกอบรมในหน่วยงาน (Web-Based Employee Performance Support: EPSS)
การฝึกอบรมในห้องอบรมที่เหมือนจริงต่างเวลากัน (Asynchronous Virtual Classroom)
การฝึกอบรมในห้องอบรมที่เหมือนจริงเวลาเดียวกัน (Synchronous Virtual Classroom)
วิธีการ/
การปฏิสัมพันธ์
การฝึกปฏิบัติการอ่านการถาม การตอบด้วยมัลติมีเดีย ไฮเปอร์เท็กซ์สถานการณ์จำลอง การฝึกหัด การสัมมนา การติดต่อกับผู้สอน
การแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การใช้ประสบการณ์การทำโครงการโดยใช้มัลติมีเดีย ไฮเปอร์มีเดีย การสัมมนา การประชุมปรึกษา การเรียนบทเรียนด้วย คอมพิวเตอร์ช่วยสอน,e-mail กับผู้สอนและเพื่อน ๆ
การเรียนแบบประสบการณ์,การประชุมกลุ่มการทำงานเป็นทีม การเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยใช้มัลติมีเดีย ไฮเปอร์เท็กซ์การสัมมนา การประชุมปรึกษาการรับบทเรียนด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยสอน e-mail
การอภิปรายกลุ่ม,การแก้ปัญหา,และการปฏิสัมพันธ์สมาชิกโดยใช้การฟังเสียงและดูวีดีโอจากการประชุมของจริง การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น

แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
1. ทฤษฎีจุดประสงค์นิยม (Objectivist) โดยทฤษฎีแนววัตถุประสงค์ มีปรัชญา การได้รับข้อมูลจากภายนอก เกิดความสามารถตามวัตถุประสงค์ และเป็นผลมาจากการสื่อสารการเรียนรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียน การออกแบบควรเน้นที่การจัดการเนื้อหาโดยผู้เรียนและผู้สอนร่วมกัน เป็นการจัดโอกาสให้กับผู้เรียนในการสังเคราะห์ จัดการและจัดสร้างข้อมูลใหม่ให้เหมือนกับการสร้างสรรค์ และสร้างแหล่งข้อมูลของผู้เรียนขึ้นเอง
            2. ทฤษฎีวิศนุกรรมนิยม (Constructivist) เน้นแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ ให้ผู้เรียนเป็นผู้เริ่มการเรียนรู้ด้วยตนเอง และแต่ละคนเรียนรู้จากความรู้และประสบการณ์ที่มีอยู่ มุ่งเน้นกิจกรรมที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียน ที่จะต้องประกอบไปด้วยโครงสร้างและการจัดการการออกแบบโปรแกรมการเรียนที่เหมาะสม การมีส่วนร่วมของผู้เรียนหรือผู้ปฏิบัติที่มีต่อผู้สอนโดยออกแบบให้ผู้เรียนมีส่วนร่วม
            3. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) การเรียนแบบร่วมมือ เกิดจากแรงผลักดันสองประการคือ ชีวิตภายนอกห้องเรียน จำเป็นต้องมีกิจกรรมที่ร่วมมือกัน โดยการใช้ทีมงานในการทำงานในชีวิตประจำวัน อีกประการหนึ่งคือ การรู้คุณค่าของปฏิสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมายขึ้น โดยที่การเรียนแบบร่วมมือ เน้นการเรียนเป็นกลุ่มเล็ก 4-6 คน สมาชิกในกลุ่มมีความสามารถคละกัน มีองค์ประกอบสำคัญ 5 ประการ ได้แก่
               3.1 ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ในทางบวก (Positive Interdependent) หมายถึง สมาชิกทุกคนทำงานอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน มีส่วนร่วมในการทำงานโดยมีบทบาทต่าง ๆ กัน ในการ
ทำงาน สมาชิกในกลุ่มจะมีความรู้สึกว่าตนจะประสบผลสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อสมาชิกทุกคนในกลุ่มประสบความสำเร็จด้วย จึงเน้นความสำเร็จร่วมกัน
               3.2 การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด (Face to Face Interaction) หมายถึง สมาชิกต้องให้ความสนใจพร้อมที่รับฟัง และเสนอความคิดเห็นต่อกลุ่ม
               3.3 ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละบุคคล (Individual Accountability) หมายถึงสมาชิกทุกคนในกลุ่มมีหน้าที่ความรับผิดชอบในการค้นคว้าทำงาน ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนเหมือนกัน
               3.4 การใช้ทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล และทักษะการทำงานกลุ่ม (Interpersonal and Small Group Skills) หมายถึง สมาชิกทุกคนต้องได้รับการฝึกทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่ม เพื่อให้การทำงานของกลุ่มประสบความสำเร็จ
               3.5 กระบวนการทำงานของกลุ่ม (Group Processes) หมายถึง มีลำดับขั้นตอนในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลุ่มที่วางไว้

            บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ (2540) ได้กล่าวถึงการฝึกอบรมผ่านเว็บมีการนำเอาทฤษฎีวิศนุกรรมนิยม (Constructivism) เป็นทฤษฎีที่ถูกนำมาใช้ในเวิล์ด ไวด์ เว็บ มากในปัจจุบัน โดยการเน้นจุดหลัก 2 ประการ คือ
            1. มีเครื่องมือที่ดีในการสร้างความรู้ (good learning material) คือ มีเครื่องมือที่เด็กสามารถมีการแสวงหาความรู้ได้ เป็นลักษณะของการเรียนแบบตัวต่อตัว (Interactive teaching) ซึ่งแต่ละคนจะมีความสนใจไม่เหมือนกัน มีความถนัด และความเชี่ยวชาญไม่เหมือนกัน เช่น โปรแกรมเลโก้ (Lego Logo) โปรแกรมภาษาจาวา (Java) ในการเขียนข่าว (Electronic Newspaper) โปรแกรมไมโครเวิลด์ (Micro world) ในการสร้างความรู้ใหม่ที่เกิดขึ้น จะเป็นเครื่องมือในการรับรู้และเกิดการคิด (Powerful Learning) เกิดการเรียนรู้ (Learning how to learn)
            2. มีบรรยากาศ และสิ่งแวดล้อมที่ดีในการเรียนรู้ที่ดี (good learning environment) ผู้เรียนต้องมีทางเลือกหลาย ๆ ทาง มีการเรียนแบบเพื่อนช่วยเพื่อน มีความเป็นกันเองในห้องเรียน และถ้าห้องเรียนมีความหลากหลายมากขึ้น ผู้เรียนก็จะมีความเก่งขึ้น มีการแบ่งปันประสบการณ์กัน


แนวโน้มของการฝึกอบรมผ่านเว็บ (Web-Based Training)
            แนวโน้มของการศึกษาในศตวรรษใหม่ ที่กำลังได้รับการกล่าวถึงในแทบทุกการประชุมระดับนานาชาติ คือการจัดการเรียนการสอนทางไกลผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือรู้จักกันในนามการศึกษาข้ามชาติ (Transnational Education) สำหรับประเทศไทยก็ได้มีการเคลื่อนไหวที่สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว โดยทบวงมหาวิทยาลัยภายใต้นโยบายสารสนเทศได้ดำเนินการวางโครงสร้างพื้นฐานทางการสื่อสารโทรคมนาคมซึ่งเกื้อหนุนต่อระบบการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เครือข่ายระยะไกล (Wide AreaNetwork) และสนับสนุนการจัดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เครือข่ายท้องถิ่น (Local Area Network) ให้กับสถาบันการศึกษามหาวิทยาลัย และโรงเรียนทั่วประเทศ การเตรียมการโครงสร้างพื้นฐานทางโทรคมนาคมดังกล่าวเป็นเพียงการสร้างช่องทางการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์เครือข่ายให้มีโอกาสเป็นจริงขึ้นได้ หากแต่ประโยชน์ทางการศึกษาจากเครือข่ายจะเกิดขึ้นอย่างสูงสุดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการใช้ที่จะต้องเป็นไปในลักษณะก้าวหน้า กล่าวคือเครือข่ายควรจะต้องมีสถานะเป็นช่องทางการสื่อสาร (Channel of Communication) เพื่อการศึกษาที่ผู้ใช้ไม่เพียงแต่เป็นผู้รับ แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการสร้างและสนับสนุนการเรียนรู้ให้กับผู้อื่นด้วย นอกจากนั้นจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) .. 2545 ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ทั้งในหมวดที่ 4 และในหมวดที่ 9 โดยในหมวดที่ 4 ได้ระบุไว้ในเรื่องของแนวการจัดการศึกษา ซึ่งในมาตรา 22 ได้กล่าวไว้ว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ซึ่งตรงจุดนี้เองที่การเรียนการสอนโดยเฉพาะการอบรมผ่านเว็บจะนำมาใช้ตอบสนองต่อเจตนารมณ์ในข้อนี้ได้อย่างดีที่สุด นอกจากนั้นในมาตรา 23 เรื่องการจัดการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัยนั้น เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตผ่านระบบเวิล์ด ไวด็ เว็บ สามารถนำมาใช้ได้อย่างเป็นกระบวนการและนำมาบูรณาการได้เป็นอย่างดีและน่าจะมีประสิทธิภาพสูงอีกด้วย ถัดไปในมาตรา 24 วงเล็บหก (6) ซึ่งกล่าวว่าต้องจัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ดังนั้นจะมองได้ในแง่ที่เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตจะตอบคำถามข้อนี้ได้อย่างตรงประเด็น เมื่อไล่เรียงตามลำดับมาจนถึงมาตรา 66 จากหมวด 9 เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ซึ่งกล่าวถึงสิทธิของผู้เรียนที่จะได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทำได้ และเพื่อให้เกิดการศึกษาและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยสรุปแล้วอินเทอร์เน็ตสามารถนำมาใช้เพื่อประโยชน์ในการนี้ได้อย่างดี และมีประสิทธิภาพอีกด้วย
            แนวโน้มของการฝึกอบรมผ่านเว็บ จะมีการรวมเอาเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่างและทรัพยากรเข้าไว้ด้วยกัน โดยแนวทางพื้นฐานในการให้ข้อมูลและการวิจัยแก่ผู้เรียนและครูที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ สาขาวิชา ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนผ่านการปฏิสัมพันธ์แบบร่วมมือกับที่ปรึกษา และคนที่มีตำแหน่งเท่ากัน รวมทั้งให้แนวทางแก่องค์กรในการพัฒนา จัดการกับข้อมูลและโมดูลการฝึกอบรมที่เหมาะสมอย่างรวดเร็ว โดยแนวโน้มของการฝึกอบรมผ่านเว็บจะออกมาในรูปแบบดังต่อไปนี้
            1. มีการปรับเปลี่ยนจากทฤษฎีแนวจุดประสงค์นิยม (Objectivism) มาเป็นทฤษฎีแนววิศนุกรรมนิยม (Constructivism) โดยที่ทฤษฎีแนวจุดประสงค์นิยม (Objectivist) มีปรัชญาการได้รับข้อมูลจากภายนอก มีความเป็นอิสระ เกิดความสามารถตามวัตถุประสงค์ และเป็นผลมาจากการสื่อสารการเรียนรู้จากผู้สอนสู่ผู้เรียน โดยเน้นการประเมินและการมอบหมายงานตามวัตถุประสงค์ การใช้หนังสือและสื่อที่เลือกไว้ก่อนแล้ว และใช้ผู้สอนในการเตรียมสื่อและหลักสูตร และการใช้ระบบเกรดสำหรับการ





























บรรณานุกรม
บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์. (2540). เวิล์ด ไวด์ เว็บ เครื่องมือในการสร้างความรู้. การประชุมวิชาการทางวิทยา
            ศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษา เรื่องการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง.
            กรุงเทพฯ : สมาคมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีศึกษาไทย. (อัดสำเนา)
ปรัชญนันท์ นิลสุข (2542). WBT: Web-Based Training เทคโนโลยีการฝึกอบรมครูในอนาคต. วารสาร
            ศึกษาศาสตร์ปริทัศน์, 14(2),79-88.
Greenberg, A.,2002. WBT: The New Millennium-Training at the Speed of Change [Online].
            Available from: http://www.isoc.org/inet99/proceedings/2a/2a_1.html
Driscoll, M.(1999).Myths and Realities of Using WBT to Deliver Training Worldwide.
            Performance Improvement, 38(3), 37-44.






















แนวโน้มแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.ความหมาย
            แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ (Learning resource center) หรือ ศูนย์สื่อการศึกษา (Educational media center) หมายถึง หน่วยงานส่วนกลางที่ให้การสนับสนุนส่งเสริมการจัดสภาพการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการจัดเก็บ การให้บริการ การใช้ทรัพยากรการเรียนรู้ การให้คำปรึกษา รวมถึงการจัดบริเวณที่เป็นสัดส่วนสำหรับความต้องการในการใช้สื่อบางประเภท (UNESCO, 1987 อ้างถึงใน รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา, 2539)
            ปรัชญาและเป้าหมายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
            1. เพื่อให้การศึกษา การบ่มเพาะกล่อมเกลา และช่วยพัฒนาการเรียนรู้ให้กับผู้สนใจไม่จำกัดความสามารถหรือพื้นฐานการศึกษาไม่ว่าจะเป็นใครก็สามารถเข้าไปแสวงหาความรู้ได้เท่าเทียมกัน
            2. เพื่อบริการสารสนเทศ ช่วยให้ผู้เข้ามาใช้บริการได้รับข่าวสารข้อมูลที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์
            3. เพื่อวัฒนธรรมโดยเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่วัฒนธรรม และเป็นแหล่งส่งเสริมการมีส่วนร่วม และความทราบซึ้งในศิลปวัฒนธรรม
            4. เพื่อพักผ่อนและนันทนาการ แหล่งการเรียนรู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนกิจกรรมเพื่อการพักผ่อนและนันทนาการที่ดีที่สุดประการหนึ่งในท้องถิ่น เป็นการช่วยให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างเพื่อการอ่านและแสวงหาความรู้ต่าง ๆ
            ชื่อเรียกต่าง ๆ ของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
            แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ที่มีอยู่ในสถาบันอุดมศึกษาของไทยในปัจจุบันมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไปแล้วแต่สถาบัน (ไชยยศ เรืองสุวรรณ,2526 อ้างถึงใน รัตนาภรณ์ ประวัติวัชรา,2539) เช่น ศูนย์วิชาการสำนักวิทยาบริการ ห้องสมุด สำนักเทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษา ศูนย์เทคโนโลยีและนวัตกรรมการศึกษา แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ศูนย์แหล่งการเรียน ศูนย์บริการโสตทัศนศึกษา เป็นต้น ซึ่งหากพิจารณาตามนิยายว่าหน่วยงานใดจัดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้นั้น นอกจากจะพิจารณาจากการรวบรวมสื่อหลากหลายประเภทแล้ว ยังจะต้องมีการจัดระบบทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดี โดยวางแผนดำเนินการและประเมินผลที่ชัดเจน

2. ตัวอย่างของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
แหล่งการเรียนรู้ภายในโรงเรียน แบ่งเป็น
1. แหล่งการเรียนรู้ในอาคารเรียน ได้แก่ ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดหมวดวิชา ห้องสมุดเคลื่อนที่ ห้องโสตทัศนศึกษา ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องศูนย์วิชา ห้องวัฒนธรรมไทย ศูนย์สื่อฯพัฒนาการเรียนการสอน เป็นต้น
2. แหล่งการเรียนรู้นอกอาคาร ได้แก่ สวนสมุนไพร สวนวรรณคดี สวนสุขภาพ สวนธรรม สวนหนังสือ สวนป่า อุทยานวิทยาศาสตร์ ศาลานักอ่าน สวนพฤษศาสตร์ เป็นต้น
3. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นแหล่งการจัดกิจกรรม แหล่งบริการต่าง ๆ เช่น การจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านการจัดกิจกรรมให้ความรู้ เสริมหลักสูตรในรูปของชุมชน เป็นต้น
แหล่งการเรียนรู้ภายนอกโรงเรียน แบ่งเป็น
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นธรรมชาติทางภูมิศาสตร์ เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ลำธาร น้ำตก ทะเลสาบ ภูเขา ป่า อุทยาน สัตว์ป่า สภาพแวดล้อมรอบตึก เป็นต้น
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น วิถีการดำรงชีวิต เช่น ผู้รู้ ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้นำองค์กรท้องถิ่น ผู้นำทางศาสนา นักวิชาการของหน่วยงานราชการ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ เป็นต้น
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมการศึกษานอกโรงเรียน ได้แก่
-          ห้องสมุดประชาชน 801 แห่ง (ห้องสมุดประชาชนจังหวัด 73 แห่ง ห้องสมุดประชาชนอำเภอ 656
แห่ง ห้องสมุด เฉลิมราชกุมารี” 71 แห่ง หอสมุดรัชมังคลาภิเษก 1 แห่ง และห้องสมุดเคลื่อนที่อีกจำนวนหนึ่ง
-          ที่อ่านหนังสือประจำหมู่บ้าง 35,289 แห่ง
-          ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน จำนวนละ 1 แห่ง (ปัจจุบันประมาณ 5,870 แห่ง)
-          ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษาและเครือข่าย 16 แห่ง
-          ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาและศูนย์ผลิตสื่อประจำภาพ 6 แห่ง
-          สวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี 11 แห่ง
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมศิลปากร ได้แก่
-          พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ และประจำจังหวัด (จดทะเบียนราว 270 แห่ง)
-          หอสมุดแห่งชาติและจดหมายเหตุ
-          ศูนย์ศึกษา แหล่ง และอุทยานประวัติศาสตร์
¨     แหล่งการเรียนรู้ที่สังกัดกรมศาสนา ได้แก่วัดและศาสนสถานทั่วประเทศซึ่งมีประมาณ 8,000 แห่ง

3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อทิศทางและแนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
1.      ปัจจัยในระดับนานาชาติ
1.1  พัฒนาการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ
1.2  ความร่วมมือด้านวิชาการในระดับนานาชาติ
2.      ปัจจัยภายในประเทศไทย
2.1  ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 หมวด 9 : เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
2.2  นโยบาย หนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนสมบูรณ์แบบ
2.3  โครงการคอมพิวเตอ์เอื้ออาทร
2.4  แผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทย พ.. 2545-2549


4. แนวโน้มของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
            1. ในภาพรวมของประเทศจะมีจำนวนแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น และกระจายไปทั่วทั้งประเทศในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงรูปแบบแหล่งการเรียนรู้ใหม่ ๆ
            ในปัจจุบันนี้สถานที่ที่จัดได้ว่าเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้มีอยู่เฉพาะในสถานศึกษาที่มีความพร้อม เนื่องจากการเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ จะต้องประกอบด้วยการรวบรวมสื่อหลากหลายประเภทและต้องมีการจัดระบบทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดี โดยวางแผนดำเนินการและประเมินผลที่ชัดเจน ดังนั้นห้องสมุดของโรงเรียนที่มีอยู่จึงมีองค์ประกอบไม่เพียงพอที่จะจัดเป็นแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้
            ลักษณะของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่จะเกิดขึ้น
2. การจัดตั้งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น พิพิธภัณฑ์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ เป็นต้น จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการเอื้อของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 โดยจะมีการสร้างให้เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่มีความพร้อมและศักยภาพในการเรียนรู้ อีกทั้งจากโครงการหนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนสมบูรณ์แบบก็จะส่งผลให้เกิดแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในระดับโรงเรียนกระจายไปทั่วประเทศ
ยกตัวอย่างลักษณะของพิพิธภัณฑ์ในรูปแบบของแหล่งการเรียนรู้ในอนาคต ได้แก่
·       การมีส่วนร่วมในสังคม เป็นเรื่องของการส่งเสริม และให้บริการ การอำนวย
·       ความสะดวกแก่ผู้เข้าชมทุกประเภท
·       การให้ผู้ชมเข้าถึงความรู้ในวัตถุของที่จัดแสดงให้มากที่สุด
·       พิพิธภัณฑ์ต้องใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึง
·       การบริการ
·       การแสดงแบบรายการ (Catalog) และเอกสารสำคัญ ๆ เป็นแบบเชื่อมตรงผ่าน
·       อินเตอร์เน็ต
·       การให้การบริการเสริมแก่ทุกพื้นที่
·       พิพิธภัณฑ์ควรปรึกษาหารือกับกลุ่มคนที่อยู่ในภาวะถูกกีดกันจากสังคมเพื่อรับรู้ปัญหา
·       และจัดการบริการจากสังคมเพื่อรับรู้ปัญหาและจัดการบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของบุคคลเหล่านี้
·       ผลงานจัดแสดงสะท้อนความหลากหลายทางวัฒนธรรม
·       พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ และหอจดหมายเหตุ เป็นสถานที่เรียนรู้ในชุมชน
·       พิพิธภัณฑ์เป็นศูนย์ความร่วมมือขององค์กรต่าง ๆ
2. ห้องสมุดมีชีวิต หรือห้องสมุดธรรมชาติ : สิ่งที่เรียนรู้จากชุมชนมีมากมาย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ในชุมชน ประวัติประเพณี พิธีกรรมของชุมชน แหล่งการเรียนรู้ทางศาสนา วัฒนธรรม งานอาชีพ การประกอบอาชีพในชุมชน ซึ่งอาจจะเปรียบได้กับห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นความจริงที่กำลังเกิดขึ้น
3. ลักษณะของทรัพยากรและการให้บริการ จะมุ่งสู่รุปแบบอิเลคทรอนิคส์มากขึ้น และเป็นระบบอัตโนมัติ

            ลักษณะดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นได้เนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนดังต่อไปนี้
1)      การพัฒนาทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่มีความก้าวหน้ามากขึ้น อุปกรณ์ต่าง ๆ ราคาถูกลง ประกอบกับในประเทศไทยมีโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ซึ่งส่งผลให้ราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วประเทศตกลงมาอยู่ในวิสัยที่สถานศึกษาในระดับเล็ก ๆ ก็สามารถจัดหามาไว้ใช้งานได้ ซึ่งคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้การให้บริการอิเลคทรอนิกส์เกิดขึ้นได้ และในทางปฏิบัติแล้วไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องราคาแพง ควรเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถเหมาะสมกับลักษณะงานที่ให้บริการมากกว่า
2)      โครงการแบ่งปันข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ในลักษณะต่าง ๆ ทำให้การลงทุนด้านข้อมูลไม่สูงอย่างในอดีต เช่น โครงการ UNINET หรือ Schoolnet ที่มีการซื้อฐานข้อมูลอิเลคทรอนิกส์ดี ๆ ในลักษณะของ countrt-licensed ทำให้เครือข่ายสามารถให้บริการข้อมูลจากฐานข้อมูลชั้นนำเหล่านี้ได้
3)      ความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศ ที่มีเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน รูปแบบความร่วมมือทางวิชาการของประเทศไทยกับต่างประเทศนั้น มีทั้งแบบแลกเปลี่ยนและรับการถ่ายทอดดังนั้นทรัพยากรการเรียนรู้บางส่วนจะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขนี้ ยกตัวอย่างเช่น โครงการแลกเปลี่ยนบทเรียนทางไกลซึ่งต่างประเทศได้เตรียมไว้ในรูปแบบอิเลคทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นหากประเทศไทยต้องการเข้าร่วมโครงการนี้ก็จำเป็นต้องปรับบทเรียนให้เป็นแบบอิเลคทรอนิกส์ด้วยเช่นกัน ซึ่งแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ก็จะมีบทบาททั้งการร่วมพัฒนาสื่อใหม่ ๆ เหล่านี้
3. มีการสร้างเครือข่ายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ที่มีความร่วมมือกันมากขึ้น
            มีการสร้างเครือข่ายของแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ โดยให้ประชาชนทุกคนได้มีโอกาสเข้าถึงความรู้และสามรถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ต่อเนื่องตลอดชีวิต จึงมีการดึงชุมชน ครอบครัว สถาบันและองค์กรต่าง ๆ มาสร้างแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ขึ้น เพื่อจัดกิจกรรมที่จะก่อให้เกิดการเรียนรู้ในเชิงประสบการ์และพัฒนาชีวิต ตามความต้องการของผู้เรียนเอง ซึ่งแนวความคิดนี้สอดคล้องกับมาตรา 29 ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542 แม้ว่าปัจจุบันเครือข่ายแหล่งความรู้จะมีบ้างแล้ว เช่น PULINET (A Plan for the Establishment of Provincial University Library Network) เป็นเครือข่ายห้องสมุดมหาวิทยาลัยในส่วนภูมิภาค THAILINET M (Thai Academic Library Network Metropolitan) เป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของห้องสมุดมหาวิทยาลัยส่วนกลาง SCHOOLNET   เป็นเครือข่ายโรงเรียนทั่วประเทศ และ UNINET เป็นเครือข่ายของทบวงมหาวิทยาลัย แต่พบว่าหน้าที่หลักของเครือข่ายดังกล่าวเป็นรูปของส่วนกลางเป็นผู้ให้ กล่าวคือ ส่วนกลางจัดหาข้อมูลแล้วกระจายไปในเครือข่าย ทำให้เกิดภาวะผู้ให้ และผู้รับ ไม่เกิดภาวะการณ์พัฒนาซึ่งกันและกัน และความร่วมมือเป็นไปในแบบทางเดียว ซึ่งความเป็นจริงก็ไม่ใช้สิ่งที่เกิดความคาดหมาย เนื่องจากสมาชิกในแต่ละเครือข่ายดังกล่าว ก็มีความสามารถในอยู่อย่างเอกเทศได้อยู่แล้ว เช่น มหาวิทยาลัยต่าง ๆ หรือโรงเรียนต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง
4. บทบาทที่แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้จะมีความสำคัญมากขึ้น
1.      การขยายบริการไปสู่รูปแบบของ Virtual Center หรือห้องสมุดในอนาคต
เนื่องจากผลของโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ทำให้ประชาชนกลุ่มหนึ่งเข้าสู่อินเตอร์เน็ทได้ ดังนั้นความต้องการใช้งานแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ ก็จะต้องพัฒนารูปแบบเป็น Virtual Center เพื่อตอบสนองความต้องการในส่วนนี้ที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต
ห้องสมุดในอนาคตก็ยังคงทำหน้าที่ไม่ต่างจากเดิม คือ เป็นแหล่งบริการข้อมูล ข่าวสาร และความรู้ ที่เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีพของมวลชน เพียงแต่รูปแบบการบริการที่จะต้องพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามสมัย รูปแบบห้องสมุดในอนาคตได้แก่ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ ห้องสมุดดิจิตอล ห้องสมุดเสมือน ห้องสมุดอัตโนมัติ ห้องสมุดลูกผสม ซึ่งในปัจจุบันห้องสมุดดิจิตอล (Digital Library For School Net) ก็เป็นความร่วมมือระหว่างเนคเทค และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำลังร่วมมือพัฒนา และวิทยาลัยดุสิตธานีก็กำลังทำห้องสมุดอัตโนมัติ (Automatic Library)
2.      การมีส่วนร่วมเพื่อการพัฒนาและการบริหารการเรียนการสอน
แหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ในประเทศไทยยังมีบทบาทในการพัฒนาและการบริการการเรียนการสอนไม่ชัดเจน แต่เมื่อนโยบายปฏิรูปการศึกษาที่เน้นการศึกษาแบบ child-center และการนำเอาสื่ออิเลคทรอนิกส์มาใช้ทางด้านการศึกษา รวมทั้งแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของประเทศไทยที่เน้นการพัฒนา e-learning ทำให้ต้องเกิดการพัฒนาด้านการเรียนการสอนเกิดขึ้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปโดยหน่วยงานกลางในสถานศึกษาที่จะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบงานด้านนี้คือแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้
3.      มีส่วนร่วมในการประเมินคุณภาพการใช้ IT
เมื่อแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว บุคลากรเริ่มมีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมากยิ่งขึ้น ก็จะเข้าสู่กระบวนการของการประเมิน ซึ่งจะต้องเป็นแกนหลักในการประเมินคุณภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนำมาปรับปรุงการให้บริการและการจัดการทรัพยากรทาง IT ที่คุ้มค่าต่อไป
5. ส่วนการบริหาร และการจัดการ เพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพให้มากขึ้น
·       การวางแผน มีการสำรวจความต้องการของผู้ใช้บริการในด้านต่าง ๆ รวมถึงวิเคราะห์ความพร้อมในด้านต่าง ๆ
·       การจัดองค์กร มีการจัดแหล่งการเรียนรู้แยกตามลักษณะของทรัพยากร และจัดระบบให้อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน
·       การจัดบุคลากร ควรกำหนดบทบาท หน้าที่รับผิดชอบ รวมทั้งคัดเลือกคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นคณะกรรมการ
·       การวินิจฉัยสั่งการ ผู้มีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการ ควรคำนึงถึงความสะดวก และความต้องการของผู้ใช้บริการเป็นหลัก
·       การประสานงาน ควรสร้างหลักความเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ที่มีต่อการจัดระบบ และเชื่อมโยงแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ระหว่างสถาบัน
·       การรายงาน ควรศึกษาและประเมินบทบาทแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีต่อการจัดการศึกษาของสถาบันอย่างเป็นระบบ ซึ่งเมื่อผู้ใช้บริการสามารถรายงานหรือแจ้งถึงความต้องการ และปัญหาการใช้งานได้ทันที
·       การจัดงบประมาณ มีการแสวงหาความช่วยเหลือด้านการเงิน จากองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ
6. ส่วนรูปแบบการบริการ
·       ควรจัดหาและผลิตทรัพยากรการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อใช้ในการเรียนรู้
·       จัดเจ้าหน้าที่เพื่ออำนวยความสะดวก ช่วยเหลือ และแนะนำการใช้งานจากแหล่งทรัพยากรการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่
·       จัดตารางเวลาในการฝึกอบรมที่เกี่ยวกับวิธีใช้ และการเข้าสู่ระบบเครือข่ายทรัพยากรการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
·       ส่งเสริมและสนับสนุน การแลกเปลี่ยนข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ จากสถาบันต่างประเทศ
·       จัดเสนอข่าวสาร วิทยาการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีส่วนช่วยในกระบวนการเรียนรู้ในรูปของเอกสารและเครือข่าย